
“การลงทุนระยะยาวไม่ได้มีไว้สำหรับคนรวยเท่านั้น แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนธรรมดาทุกคนที่ต้องการสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับตัวเองในอนาคต”
นี่คือความเชื่อที่ทำให้ “อะซึโตะ ซาวาคามิ” ผู้บริหารสูงสุดของ Pictet Asset Management ประจำประเทศญี่ปุ่นตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งเพื่อก่อตั้งบริษัทบริหารกองทุนรวมของตนเองขึ้น ท่ามกลางการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจญี่ปุ่น หลังประสบกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรงจากวิกฤติฟองสบู่ทางเศรษฐกิจในช่วงต้นทศวรรษ 1990
ขณะนั้นตลาดหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ตกต่ำอย่างหนัก ธนาคารและสถาบันการเงินหลายแห่งล้มละลาย “ระบบการจ้างงานแบบตลอดชีวิต" ที่เคยเป็นรากฐานสำคัญของสังคมญี่ปุ่นก็เริ่มสั่นคลอนจนทำให้คนญี่ปุ่นจำนวนมากเริ่มตระหนักถึงความจำเป็นในการวางแผนทางการเงินเพื่ออนาคตด้วยตัวเอง เพราะไม่สามารถพึ่งพารัฐบาลหรือบริษัทได้เหมือนในอดีต
จุดนี้ได้กลายเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ทำให้ อะซึโตะ เห็นโอกาสที่จะนำเสนอ “แนวคิดการลงทุนระยะยาว” ที่ไม่ใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้น แต่รวมไปถึงวิธีการพิจารณาธุรกิจและคุณค่าที่ผูกโยงกับสังคม ซึ่งได้กลายเป็นปรัชญาหลักที่ "Sawakami Toshin" หรือ Sawakami Asset Management Inc. สร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนตั้งแต่แรกเริ่ม ตลอดจนการฝ่าฟันวิกฤติทางเศรษฐกิจระดับโลกหลากหลายครั้ง ทั้งฟองสบู่ในโลกไอที วิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ รวมถึงช่วงที่เกิดแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิหลายต่อหลายครั้งภายในประเทศจนถึงปัจจุบัน
Thairath Money ครั้งนี้พูดคุยกับ เรียว ซาวาคามิ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซาวาคามิ แอสเซท แมเนจเม้นท์ จำกัด (Sawakami Asset Management Inc.) ประเทศญี่ปุ่น ผู้รับช่วงต่ออาณาจักรซาวาคามิ กับก้าวใหญ่ในประเทศไทยในฐานะตลาดแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังจัดตั้ง “บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ซาวาคามิ (ประเทศไทย)” และเปิดขายกองทุนรวมได้เป็นเวลากว่า 2 ปี อะไรคือเหตุผลที่เชื่อมั่นและอยากรุกตลาดด้วยการปลูกฝังแนวคิด “การลงทุนระยะยาว” หรือ Long-Term Investment ให้นักลงทุนไทย
ปรัชญา “กล้าที่จะไม่แสวงหากำไร” แบบซาวาคามิที่สร้างความแตกต่างจากบริษัทอื่นๆ เป็นอย่างไร และเราในฐานะคนไทยเรียนรู้อะไรจากการคิดและทำตามวิถีญี่ปุ่นแบบซาวาคามิได้บ้าง…
“ซาวาคามิอยากปลูกฝังแนวคิดเรื่อง ‘การลงทุนระยะยาว’ หรือการลงทุนที่ค่อยเป็นค่อยไปให้หยั่งรากลึกในสังคมไทย เพราะเราเชื่อมั่นว่าการลงทุนระยะยาวจะนำโอกาสสู่ความมั่งคั่งที่แท้จริง เพราะการลงทุนไม่ใช่เพียงการไล่ตามกำไรระยะสั้น แต่คือการสร้างอนาคตของตัวเองและของสังคม”
เรียว เริ่มต้นบทสนทนาด้วยประโยคที่สะท้อนวิถีการลงทุนของบริษัทที่แตกต่างจากบริษัทหลักทรัพย์จำนวนมากในประเทศไทย โดยเขากล่าวว่า ‘ปรัชญาการลงทุนระยะยาว’ ยังคงเป็นแนวคิดหลักที่บลจ. ซาวาคามิยึดถือและส่งต่อถึงนักลงทุนเสมอมา และมากไปกว่านั้นบริษัทยังมุ่งมั่นที่จะปลูกฝังแนวคิดทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจที่ว่านี้ให้ฝังรากลึกในประเทศไทย รวมถึงประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย
“ซาวาคามิเชื่อมโยงปรัชญาการลงทุนกับรากวัฒนธรรมของญี่ปุ่นและไทย ทั้งสองประเทศต่างเคยรุ่งเรืองด้วยเกษตรกรรม การหว่านเมล็ด รดน้ำ ดูแลต้นกล้าให้ผ่านพายุและเก็บเกี่ยวผลผลิตอย่างต่อเนื่องทุกปี การลงทุนระยะยาวก็เหมือนกับการเพาะปลูกพืชผลที่ต้องใช้เวลาและความอดทน เราปลูกฝังสิ่งที่เชื่อมั่นและรอผลที่จะงอกงามในอนาคต”
Sawakami Asset Management Inc. ก่อตั้งและเติบโตท่ามกลางช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่หลายครั้ง ซึ่งมีผลกระทบต่อแนวคิดและปรัชญาการลงทุนของบริษัทโดยตรง ในปี 2000 ที่โลกเผชิญกับการล่มสลายของ ‘ฟองสบู่ไอที’ หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งพุ่งสูงเกินมูลค่าที่แท้จริงและนักลงทุนจำนวนมากก็แห่กันลงทุนตามกระแสในบริษัทที่ยังไม่มีกำไรจริงๆ
ช่วงเวลานั้น Sawakami Asset Management Inc. ยึดมั่นในหลักการลงทุนระยะยาวที่เน้น “มูลค่าที่แท้จริงของกิจการ” โดยไม่ตามกระแสหรือเก็งกำไรเหมือนคนอื่น ทำให้ในตอนนั้นมีคนมองว่าแนวทางของบริษัทล้าสมัยและไม่ได้รับความสนใจมากนัก แต่เมื่อฟองสบู่แตกในปี 2000 หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงอย่างหนัก กองทุนหลายแห่งทั่วโลกได้รับผลกระทบรุนแรง บางกองทุนถึงขั้นล้มละลาย
ในขณะที่ Sawakami Asset Management Inc. ไม่ได้รับผลกระทบมากนักและยังสามารถแสดงผลการดำเนินงานอย่างมั่นคง เหตุการณ์นี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ Sawakami Asset Management Inc. ได้รับความสนใจจากสื่อและนักลงทุนรายย่อย ความเชื่อมั่นในปรัชญาการลงทุนของบริษัทจึงเริ่มแพร่หลายออกไปอย่างกว้างขวางในประเทศญี่ปุ่น
หรือจะเป็น ‘วิกฤติเศรษฐกิจในปี 2008’ จากปัญหาในตลาดสินเชื่อซับไพรม์ของสหรัฐฯ ที่ส่งผลกระทบไปยังตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงญี่ปุ่น ในช่วงวิกฤตินี้บริษัทยังคงยึดมั่นในปรัชญาการลงทุนระยะยาวและมองว่าช่วงที่ราคาหุ้นตกต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับการเข้าซื้อกิจการดีๆ ในราคาที่ถูกลง ขณะที่หลายกองทุนรีบขายสินทรัพย์เพื่อหนีความเสี่ยง
การลงทุนจึงไม่ใช่เพียงการไล่ตามกำไรระยะสั้น แต่คือการสร้างอนาคตของตัวเองและของสังคม แม้ในระยะสั้นจะดูเหมือนขาดทุน แต่นั่นคือการวางรากฐานสำหรับการฟื้นตัวในระยะยาว ซึ่งในอีกไม่กี่ปีต่อมาเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว กองทุนซาวาคามิที่ญี่ปุ่นก็ฟื้นตัวตาม และนักลงทุนก็เริ่มเข้าใจถึง “พลังของการยึดมั่นในปรัชญาระยะยาว” ซึ่งแนวคิดนี้ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนในระยะยาวได้เป็นอย่างดี
วิกฤติต่าง ๆ จึงล้วนสะท้อนพื้นฐานของหลักทรัพย์ในระยะยาว และเป็นบททดสอบครั้งใหญ่ที่ทำให้เห็นว่าปรัชญาการลงทุนใน “กิจการที่มีคุณค่าอย่างแท้จริง” และ “ไม่ไหลตามกระแส” สามารถพานักลงทุนผ่านวิกฤติได้
ดังนั้นแนวทางการลงทุนของกองทุนรวมผสมซาวาคามิในประเทศไทย นำหลักปรัชญาการลงทุนของบริษัทแม่ คือ การมุ่งเน้นไปที่การลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนในไทยที่มีปัจจัยพื้นฐานดี สร้างคุณค่าให้กับสังคม พร้อมกับวิเคราะห์หลักทรัพย์นั้น ๆ อย่างละเอียด โดยคำนึงถึงสภาวะทางเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว เรียว กล่าว
“เพราะแม้จะมีวิกฤติเศรษฐกิจถดถอย หรือราคาหุ้นร่วงหนัก แต่กิจการที่เป็นพื้นฐานของชีวิตมนุษย์ กิจการที่สนับสนุนการดำรงชีวิต และอนาคตของเรา ไม่มีวันหายไปไหน และเมื่อเศรษฐกิจฟื้น กิจการเหล่านั้นก็ฟื้นตัวพร้อมมอบผลตอบแทนกลับคืนให้นักลงทุนเสมอ”
เรียว เสริมว่า ดังนั้นเป้าหมายการเข้ามาในประเทศไทย จึงเป็นการสนับสนุนให้นักลงทุนไทยเห็นถึงความสำคัญของการลงทุนในกิจการของไทยที่ขับเคลื่อนอนาคตของประเทศไทย ด้วยเงินลงทุนจากคนไทยเอง ซึ่งซาวาคามิหวังว่านักลงทุนไทยจะเริ่มมองการลงทุนในมิติของการร่วมสร้างสังคมไปพร้อมกับกิจการเพื่อรับผลตอบแทนกลับมาในอนาคต มากกว่าแค่การซื้อขายเพื่อเก็งกำไร
ปัจจุบัน Sawakami Asset Management Inc. มีจำนวนนักลงทุนประมาณ 130,000 รายในญี่ปุ่น มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิมากกว่า 4 แสนล้านเยน (ณ วันที่ 30 กรกฎาคม 2025) โดยมีกองทุนเรือธงตัวแรก และตัวเดียวที่บริหารภายใต้บริษัท ซึ่งก็คือ “กองทุนรวมซาวาคามิ” ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่บริหารแบบเชิงรุก โดยเลือกลงทุนหลักทรัพย์แบบ bottom up โดยยึดแนวทางการลงทุนระยะยาวในบริษัทที่ให้บริการ หรือสร้างผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นต่อสังคม และมีศักยภาพในการพัฒนาให้สังคมดีขึ้นในอนาคต
“เรามีเป้าหมายจะเป็นกองทุนที่ลูกค้าสามารถถือเพียงกองเดียว แล้วมั่นใจได้ตลอดชีวิต หน้าที่ของเราคือการวิเคราะห์ และประเมินอนาคต ไม่ใช่ไล่ตามดัชนี เราวิเคราะห์ว่ากิจการแบบไหนจะยังคงจำเป็นต่อสังคม และลงทุนเพื่อสนับสนุนกิจการเหล่านั้น”
การมีเพียงกองทุนรวมเพียงกองเดียวมาจากแนวคิดที่ต้องการบริหารจัดการกองทุนอย่างเต็มประสิทธิภาพ และทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นในกองทุนหลัก (Core Fund) ของบริษัท มากกว่ามีหลายผลิตภัณฑ์ ด้วยการจัดการที่ครอบคลุมทั้งการจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation) และการกระจายความเสี่ยงตามเวลา และตลาดโลก
*หมายเหตุ ในที่นี้ได้กล่าวถึงการบริหารกองทุนซาวาคามิในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกับกองทุนรวมผสมซาวาคามิในประเทศไทย ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน
ทั้งนี้ภายใต้การบริหารของ เรียว บริษัทได้ขยายธุรกิจมายังประเทศไทย โดยมีการจัดตั้ง “บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ซาวาคามิ (ประเทศไทย)” และเปิดขายกองทุนรวมเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2023 โดยยึดแนวทางจากบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นที่ให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์กับผู้ถือหน่วยลงทุนโดยตรง ไม่มีขายผ่านนายหน้าตัวแทน
“การลงทุนไม่ได้จบแค่การซื้อหุ้น แต่คือการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับกิจการ ไม่ได้มองแค่ตัวเลขกำไร แต่ถามหาที่มาของกำไรนั้นว่าเกิดจากการเติบโตของกิจการที่สนับสนุนสังคมหรือไม่”
สุดท้าย เรียว ได้ย้ำจุดยืนว่า จากประสบการณ์ในการบริหารสินทรัพย์ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจระดับโลก ควบคู่ไปกับการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับผู้ถือหน่วยลงทุนโดยตรง เขาเชื่อมั่นว่าสิ่งนี้ คือ รากฐานสำคัญที่ช่วยให้เราก้าวผ่านวิกฤติตลาดมาได้หลายครั้ง และจะทำให้ 'บลจ.ซาวาคามิ (ประเทศไทย) ที่มีปรัชญาการลงทุนเช่นเดียวกับบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่น' แตกต่างจากกองทุนอื่น ๆ
“ที่ผ่านมาในประเทศญี่ปุ่น เราถือหุ้น 10–20 ปี กิจการเห็นว่าเราจริงใจ ไม่ใช่แค่นักลงทุนที่มาแล้วไป ความสัมพันธ์แบบนี้ทำให้เกิดการมีส่วนร่วม และเติบโตไปด้วยกัน การบ่มเพาะ ดูแล และแบ่งปันผลตอบแทน นี่คือแก่นของการลงทุนระยะยาวอย่างแท้จริง…” เรียว กล่าวทิ้งท้าย
คำเตือน “นักลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน” ศึกษาหนังสือชี้ชวนได้ที่ www.sawakami.co.th