
หากพูดถึงโลกของ “การลงทุน” หลายคนคงจะทราบดีว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก และใครๆ ก็มักจะได้ยินชื่อหุ้น 7 นางฟ้า ที่ราคาขึ้นอย่างโดดเด่นแจกกำไรกับผู้ถือหุ้นอย่างมากมาย เม็ดเงินทั่วโลกพากันหลั่งไหลไปลงทุนในสหรัฐฯ จำนวนมาก ไม่เว้นแม้แต่นักลงทุนไทย จึงเป็นเหตุผลให้โบรกเกอร์ชื่อดังในสหรัฐฯ อย่าง บริษัทหลักทรัพย์ วีบูลล์ เลือกที่จะเข้ามาเปิดสาขาในเมืองไทย จนปัจจุบันก็ได้ฉลองความสำเร็จครบรอบ 1 ปี
และล่าสุด “วีบูลล์” จัดงาน “Webull Money Festival 2025” ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญบนเส้นทางการเติบโตของบริษัท และงานนี้ยังถือเป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จล่าสุดของวีบูลล์ ในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ตอกย้ำพันธกิจของบริษัทในการเปิดโอกาสให้นักลงทุนทั่วโลกเข้าถึงตลาดการเงินระดับโลกได้ตลอด 24 ชั่วโมง ตลอดสัปดาห์ พร้อมนำเสนอเครื่องมือการลงทุนที่ล้ำสมัยและออกแบบมาเพื่อนักลงทุนชาวไทยโดยเฉพาะ ในฐานะนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ออนไลน์สัญชาติสหรัฐฯ รายแรกในประเทศไทย
ทั้งนี้หากย้อนกลับไป “วีบูลล์” เริ่มก่อตั้งในปี 2559 และก้าวสู่การเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปี 2561 ภายใต้การบริหารงานของ “แอนโทนี เดเนียร์” ประธานกลุ่ม Webull Corporation และ CEO ของ Webull US บริษัทได้ขยายธุรกิจไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา
ปัจจุบันวีบูลล์ให้บริการครอบคลุม 14 ประเทศทั่วโลก ตั้งแต่สหรัฐอเมริกา, แคนาดา, เม็กซิโก, บราซิล, อังกฤษ, เนเธอร์แลนด์, แอฟริกาใต้, ฮ่องกง, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, และไทย พร้อมฐานผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนแล้วกว่า 23 ล้านบัญชีทั่วโลก
ชลเดช เขมะรัตนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของวีบูลล์ ประเทศไทย เปิดเผยว่า การเติบโตอย่างรวดเร็วของบริษัทในปีที่ผ่านมา ผลักดันให้เกิดความมุ่งมั่นในการพัฒนาแพลตฟอร์มบริการทางการเงินแบบครบวงจร ปัจจุบัน วีบูลล์เปิดโอกาสให้นักลงทุนในประเทศไทยสามารถลงทุนในหุ้น, อีทีเอฟ, ออปชัน และหุ้นเศษส่วนในตลาดสหรัฐฯ ได้ ความสามารถในการลงทุนเหล่านี้ยังมาพร้อมกับข้อมูลตลาดแบบเรียลไทม์ เครื่องมือการเทรดระดับมืออาชีพ และแหล่งความรู้ด้านการลงทุนที่ครบถ้วน ช่วยให้นักลงทุนสามารถซื้อขายและลงทุนได้อย่างมั่นใจ
ทั้งนี้ วีบูลล์ เปิดตัวในประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2567 ในฐานะโบรกเกอร์สัญชาติสหรัฐอเมริกา รายแรกในประเทศไทยที่ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงการคลัง และดำเนินงานภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ประเทศไทย โดยทุกวันนี้มีจำนวนของผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกับวีบูลล์ ประเทศไทย ประมาณ 5 แสนคน
ส่วนสิ่งที่ทำให้วีบูลล์โดดเด่น คือ แพลตฟอร์มการเงินที่ครบครันภายใต้แนวคิด “All-in-Webull” ซึ่งมีอัตราค่าคอมมิชชันเพียง 0.10% พร้อมทั้งการแสดงราคาสินทรัพย์แบบเรียลไทม์และประสบการณ์ใช้งานที่ราบรื่น ทั้งหมดนี้ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุนชาวไทยโดยเฉพาะ อีกทั้งเครื่องมือที่มีเหมือนกับนักลงทุนอเมริกันใช้ในอเมริกา จึงสามารถเปรียบเทียบได้ว่าวีบูลล์ยังคงเหนือกว่าบริการที่มีอยู่ในไทย ทำให้จุดยืนที่แข็งแกร่งนี้ส่งผลให้เกิดการเติบโตอย่างต่อเนื่องของฐานผู้ใช้วีบูลล์ในไทยตลอดปีที่ผ่านมา
ชลเดช ระบุว่า หุ้นอเมริกายังเป็นที่สนใจของนักลงทุนไทย โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี, AI และ Health Tech ที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ส่วนตลาดหุ้นไทยแม้เผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจและปรับตัวลดลงต่อเนื่องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันเริ่มเห็น Downside จำกัด และ หุ้นปันผล ก็ยังคงน่าสนใจ รวมทั้ง “หุ้นไทย” เป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน เป็นอันดับ 2 รองจากหุ้นสหรัฐ ทำให้ Webull เตรียมเปิดเทรดหุ้นไทยเพื่อสร้างโอกาสใหม่ให้แก่นักลงทุน ภายในเดือนกันยายน 68 ที่จะรวมทั้ง DR, DW แต่ยังไม่สามารถซื้อขาย TFEX ได้ โดยจะมีอัตราค่าคอมมิชชันไม่เกิน 0.10% หรือต่ำสุดในอัตรา 0.06 -0.08% ที่สามารถแข่งขันได้
โดยคาดว่าหลังเปิดเทรดหุ้นไทย จะมีผู้ใช้งานเพิ่มอีก 5 แสนรายเป็น 1 ล้านราย นอกจากนี้ วีบูลล์จับมือกับพันธมิตรที่เป็น Local Partner ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการช่วยเพิ่มผู้ใช้งาน
ขณะเดียวกันคาดว่าจะมีผู้เปิดบัญชีกับ วีบูลล์เพิ่มขึ้นเป็น 3 แสนบัญชี หรืออย่างน้อย 30% ของผู้ใช้งานแพลตฟอร์ม Webull จากปัจจุบันมีอยู่ 1.3 แสนบัญชี ซึ่งเป็นบัญชี Active 1 แสนบัญชี โดยทั้งหมดอายุระหว่าง 25-45 ปี
“ประเทศไทยมีประชากรประมาณ 70 ล้านคน มีนักลงทุนประมาณ 3 ล้านคน ถือเป็นขนาดที่พอเหมาะ และสามารถเติบโตได้อีก เพราะการลงทุนในปัจจุบันโดยเฉพาะหุ้นอเมริกา คนไทยให้การตอบรับที่ดีมีการติดตามข่าวหุ้น Apple, Nvidia, Tesla จำนวนมาก จึงเป็นโอกาสที่จะเข้ามาทำตลาดโดยนักลงทุนไทยให้ความสนใจทุกผลิตภัณฑ์ของวีบูลล์ ไม่ว่าจะเป็น DCA หรือการใช้ออปชัน นักลงทุนให้การตอบรับดีกว่าคาด และมีปริมาณการเทรดเยอะกว่าที่คาดไว้” ชลเดช กล่าว
ด้วยเหตุนี้เอง วีบูลล์ ประเทศไทย จึงได้จัดงาน “Webull Money Festival 2025” เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 9 ปีของ Webull Corporation และครบรอบ 1 ปีของการดำเนินงานในประเทศไทย พร้อมทั้งประกาศความสำเร็จในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ อย่างเป็นทางการ โดยงานจัดขึ้นภายใต้ธีม “Investing and Trading, All in Webull” ที่ผสมผสานโลกการลงทุนเข้ากับความบันเทิงในรูปแบบที่ทันสมัยและน่าดึงดูด โดยมุ่งเจาะกลุ่มนักลงทุนรุ่นใหม่ ภายในงานได้นำเสนอมุมมองและเครื่องมือการลงทุนสมัยใหม่ในบรรยากาศที่น่าตื่นตาตื่นใจ โดยไฮไลต์และมีการเปิดตัวฟีเชอร์พิเศษและสิทธิประโยชน์สำหรับนักลงทุน อาทิ
● ดอกเบี้ยรายวัน (Daily Interest) : รับดอกเบี้ย 3.5% ต่อปีจากยอดเงินสด USD ที่คงเหลือในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์
● DCA ไม่มีค่าคอมมิชชัน : ลงทุนตามตารางเวลาแบบต่อเนื่อง ด้วยเงินขั้นต่ำ 5 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 160 บาทเท่านั้น โดยไม่มีค่าคอมมิชชัน
● Dynamic DCA : เครื่องมือการลงทุนอัจฉริยะที่ปรับจังหวะเวลาซื้อขายให้เหมาะสมตามการเคลื่อนไหวของตลาด
● Sage Tracker : ฟีเจอร์ระดับพรีเมียมที่ช่วยติดตามการซื้อขายแบบเรียลไทม์ของนักลงทุนรายใหญ่และการเคลื่อนไหวของพอร์ตโฟลิโอของนักลงทุนสถาบัน
● Dividend Reinvestment Plan (DRIP) : นำเงินปันผลกลับมาลงทุนใหม่โดยอัตโนมัติเพื่อเร่งการเติบโตของพอร์ตระยะยาว
นอกจากนี้ วีบูลล์ยังได้จัดกิจกรรมให้ความรู้ด้านการลงทุนร่วมกับพันธมิตรระดับโลก เช่น NASDAQ ซึ่งตอกย้ำบทบาทของวีบูลล์ ในฐานะแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงระหว่างความรู้ด้านการลงทุนและเทคโนโลยีวีบูลล์ ยังคงมุ่งมั่นในการมอบประสบการณ์การลงทุนที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และใช้งานง่าย ที่ปรับให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์และเป้าหมายทางการเงินของนักลงทุนรุ่นใหม่ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของวีบูลล์
ในการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาวให้แก่ผู้ใช้งานทั่วโลก แอปพลิเคชัน Webull Thailand พร้อมให้ดาวน์โหลดแล้วทั้งบน App Store และ Google Play สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.webull.co.th/activity?source=Thairathmoneyth