
สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่กำลังตัดสินใจเลือกลงทุนในหุ้น คำถามที่ท้าทายที่สุดอาจไม่ใช่การเลือกระหว่างบริษัทที่ดีกับไม่ดี แต่เป็นการเลือกระหว่างบริษัทที่ทำธุรกิจคล้ายกันในอุตสาหกรรมเดียวกัน
ลองนึกภาพตามว่า หากต้องการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่เป็น "ยักษ์ใหญ่" ความมั่นคงอาจไม่ต่างกัน ซึ่งเราอาจไม่สามารถเลือกลงทุนได้เพียงดูแค่ว่า “ใครใหญ่กว่ากัน”
แต่ต้องเปลี่ยนเป็น "ใครมีวิสัยทัศน์และการปรับตัวที่เหนือกว่า" เพื่อสร้างศักยภาพการเติบโตในอนาคต
ลองนึกภาพตามว่าหากคุณต้องการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็น "ยักษ์ใหญ่" ที่มีสินทรัพย์มหาศาล มีฐานลูกค้าที่มั่นคง และจ่ายเงินปันผลได้ต่อเนื่องเหมือนๆ กัน
แต่การเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) มักจะถูกจำกัด เพราะฐานธุรกิจที่ใหญ่มากแล้ว และยังต้องเผชิญกับการแข่งขันที่ดุเดือด รวมถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในยุคดิจิทัล
ดังนั้น การลงทุนในยุคนี้ต้องมุ่งเน้นการมองไปข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นบริษัทที่ มีศักยภาพในการสร้างการเติบโตของกำไรต่อหุ้น มีความสามารถในการรุกเข้าสู่ตลาดใหม่ ๆ และสามารถลดต้นทุนผ่านนวัตกรรม
เพราะปัจจัยเหล่านี้จะสร้างความแตกต่างของผลตอบแทนอย่างมหาศาล แม้จะอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันก็ตาม
สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่กำลังเลือกหุ้น การตัดสินใจเลือกระหว่างบริษัทที่ทำธุรกิจคล้ายกัน เป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
บริษัทหลักทรัพย์ เคเคพี ไดม์ จำกัด (Dime) ชี้ให้เห็นตัวอย่างที่หุ้นแต่ละตัวมีผลตอบแทนต่างกันลิบลับ จากข้อมูลผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี (สิ้นสุดปี 2023) พบว่าหุ้นที่ทำธุรกิจเหมือนกัน ขายของคล้ายกัน กลับมีผลลัพธ์กำไรจากการลงทุนต่างกันเป็นหมื่นเปอร์เซ็นต์ เช่น
Dime ระบุว่า สาเหตุที่เป็นแบบนี้อยู่ที่ Vision และ Execution พร้อมแนะนำว่า การมองหาหุ้นที่มีการเติบโต และมีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงในระยะยาว มีจุดสังเกต 3 ข้อหลักๆ ได้แก่
ดังนั้น การตัดสินใจลงทุนในยุคนี้จึงไม่ควรจำกัดอยู่แค่ "ยักษ์ใหญ่" ที่คุ้นเคยเท่านั้น แต่ควรเปิดทางให้กับการแบ่งเงินลงทุนเพื่อมองหาหุ้นที่เป็น “ยักษ์ตื่น” ที่มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนแบบก้าวกระโดด
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจำเป็นต้องตระหนักว่า การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยง จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและเลือกบริษัทที่มีทิศทางชัดเจนก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้