
สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชากลับมาร้อนแรงอีกครั้ง หลังมีการใช้ปฏิบัติการทางอากาศของไทยด้วยเครื่องบิน F-16 ตอบโต้เหตุการณ์โจมตีจากฝั่งกัมพูชา ซึ่งถือเป็นสัญญาณสำคัญของการยกระดับความตึงเครียดทางทหาร ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดทุนไทยกลับเข้าสู่โหมดระมัดระวัง และความขัดแย้งอาจยืดเยื้อจนกระทบภาพรวมเศรษฐกิจในวงกว้าง
นักลงทุนจำนวนหนึ่งเลือกชะลอการลงทุนและรอดูทิศทางชัดเจนมากขึ้น แม้เม็ดเงินต่างชาติยังคงไหลเข้าต่อเนื่อง แต่ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ในระดับใกล้พื้นที่ชายแดนทำให้แรงซื้อดังกล่าวไม่สามารถดันดัชนีได้อย่างเต็มที่
สิ่งที่ตลาดจับตาอย่างมากในเวลานี้คือ "โครงการ TISA" ซึ่งเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในวันนี้ ซึ่งถูกมองว่าเป็นมาตรการที่อาจช่วยพยุงความเชื่อมั่น ขยายฐานนักลงทุนรายย่อย และหนุนหุ้นบางกลุ่มให้ได้ประโยชน์โดยตรง หากได้รับการอนุมัติ
ท่ามกลางความเสี่ยงรอบด้าน โบรกเกอร์หลายค่ายได้ประเมินผลกระทบต่อดัชนีตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกัมพูชา รวมถึงแนะนำกลยุทธ์รับมือตลาดผันผวน พร้อมรายชื่อหุ้นเด่นที่ได้ประโยชน์จาก TISA และแนวโน้มหุ้นปันผลในฤดูกาลนี้
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ตลาดหุ้นผันผวนสูงและมีโอกาสปรับตัวลง จากแรงกดดันสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่มีความตึงเครียดมากขึ้น
ซึ่งถือเป็นการยกระดับความรุนแรงและอาจนำไปสู่ความกังวลเรื่องการสู้รบที่ยืดเยื้อ ประกอบกับความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศเรื่องกระแสข่าวการยุบสภาฯ ที่อาจเกิดขึ้นก่อนเปิดสมัยประชุมสามัญ
ทั้งนี้ หากดัชนีตลาดหุ้นไทยหลุดระดับ 1,250 จุด จะเป็นสัญญาณลบทางเทคนิคที่ต้องระวัง ซึ่งปัจจุบันตลาดกำลังเลือกทาง จาก 1 ใน 3 ตัวแปรของตลาด ที่ออกมาในทางลบ
ซึ่งมีสัญญาณลบมาตั้งแต่ช่วงวันหยุด และวันนี้ สถานการณ์แนวชายแดน ยังคงมีผลมากกว่าตัวแปรอื่นๆ หากมีการใช้กำลังทางทหารเต็มรูปแบบ หรือยืดเยื้อ ควรลดการถือหุ้นลง
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบวกเฉพาะตัวจากการประชุม ครม. วันนี้ ที่คาดว่าจะมีการพิจารณามาตรการ TISA เพื่อกระตุ้นตลาดทุน ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการ "Quick Big Win" ส่งเสริมการออมให้กับประชาชน พร้อมลดหย่อนภาษี จูงใจรายย่อยเข้ามาลงทุนมากขึ้น
ซึ่งหุ้นได้ประโยชน์จากมาตรการ ได้แก่ หุ้นผลประกอบการดี หุ้นปันผล โดยเฉพาะหุ้นธนาคารที่จ่ายปันผลสูง โดยแนะนำ PTTEP, ADVANC, SAT, PTT, SCB, KTB เป็นต้น
บทวิเคราะห์ บริษัท หลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ความไม่สงบไทยกับกัมพูชาสร้างแรงกดดันเชิงจิตวิทยา แม้ในเชิงเศรษฐกิจรวมไปถึงบริษัทจดทะเบียนจะไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ แต่อย่างไรก็ตาม อาจมีบางบริษัทที่มีรายได้ในกัมพูชาได้รับผลกระทบ อาทิ CBG, CPALL OR แต่ก็เป็นสัดส่วนเพียงเล็กน้อย
ในขณะเดียวกันอาจกดดันถึงการท่องเที่ยวไทยจากต่างชาติที่กำลังเข้าสู่ช่วงปัจจัยฤดูกาล โดยวันนี้รอติดตามการประชุมคณะรัฐมนตรีที่อาจนำมาตรการลดหย่อนภาษีต่างๆ เข้าพิจารณา วานนี้มีรายละเอียดออกมาเบื้องต้นแต่ยังไม่เป็นที่ชัดเจน
ในเชิงกลยุทธ์การลงทุน แม้จะมีปัจจัยกดดันแต่พื้นฐานบริษัทจดทะเบียนไม่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะสำคัญ จึงมองเป็นโอกาสสะสมเพื่อรอการฟื้นตัวในช่วงที่ปัจจัยกดดันข้างต้นจะเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น
โดยเน้นที่กลุ่มธนาคารพาณิชย์ เช่น BBL, KBANK, KTB, SCB ค้าปลีก เช่น CPALL, HMPRO ศูนย์การค้า เช่น CPN การเงิน เช่น MTC TIDLOR ท่องเที่ยว เช่น MINT CENTEL เป็นต้น
ด้าน ฝ่ายวิจัยฯ บล.เอเซีย พลัส ให้ความเห็นว่า วานนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เผยว่าความขัดแย้งไทย-กัมพูชากลับมาดุเดือดรอบใหม่ อาจมีผลต่อการปิดดีลเจรจากับสหรัฐฯ ตามเป้าหมายภายในสิ้นปีนี้
หากมองในแง่มุมผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย สหรัฐฯ และกัมพูชาถือเป็นประเทศหลักที่ไทยได้ดุลการค้าราว 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ หรือคาดเป็นสัดส่วนรวมราว 27.7% ทำให้บ้านเรามีความเสี่ยงสูญเสียรายได้ด้านมูลค่าการส่งออกสินค้าสุทธิ ที่มีสัดส่วนราว 5% ของ GDP
อย่างไรก็ตาม มองว่าโครงการ TISA จะเป็นโล่ป้องกันตลาด จากความขัดแย้งกัมพูชา เวลามีการทิ้งระเบิดมักกดดันดัชนีตลาดหุ้นไทยให้ย่อตัวแรงเสมอ แต่หลังจากนั้นก็มักจะฟื้นขึ้นมาได้ดีเช่นกัน โดยแนะนำหุ้นรับกระแส TISA ดังนี้
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้