
ปีนี้ภาคใต้ต้องเผชิญกับน้ำท่วมใหญ่ที่ลากยาวกว่าที่หลายคนคาดไว้ ไม่ใช่แค่เหตุการณ์ฝนตกหนักตามฤดูกาล แต่เป็นสถานการณ์ที่ส่งผลต่อวิถีชีวิต เศรษฐกิจ และภาคธุรกิจในวงกว้างอย่างเห็นได้ชัด
ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่เพียงกระทบผู้คนในพื้นที่ แต่ยังสะเทือนถึงสัญญาณด้านเศรษฐกิจระดับประเทศ จนกลายเป็นเหตุการณ์ที่ทุกฝ่ายต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
ในมุมของนักวิเคราะห์ตลาดเงินตลาดทุน เหตุการณ์ครั้งนี้ถูกมองว่าอาจเป็น “ตัวเร่งสำคัญ” ที่ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องทบทวนทิศทางนโยบายการเงินในช่วงปลายปี
โดยเฉพาะการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อช่วยประคองส่งเสริมสภาพเศรษฐกิจที่เริ่มอ่อนแรงจากปัจจัยเฉียบพลันอย่างอุทกภัย และเพื่อให้มีทิศทางสอดคล้องกับธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเศรษฐกิจสั่นไหว ตลาดหุ้นย่อมได้รับผลกระทบตามไปด้วย แต่ผลที่เกิดขึ้นไม่ได้มีเพียงด้านลบอย่างเดียว เพราะในทุกวิกฤติ มักเกิดโอกาสของบางกลุ่มธุรกิจควบคู่กันไป
Thairath Money ชวนเปิดมุมมองนักวิเคราะห์ในประเด็นที่ “นักลงทุนต้องรู้” ท่ามกลางความผันผวนเช่นนี้ สถานการณ์ต่างๆ ล้วนสำคัญต่อทิศทางหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญ
มุมมองจาก นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ประเมินว่าสถานการณ์น้ำท่วมในภาคใต้ครั้งนี้มีความรุนแรงกว่าปีปกติอย่างมีนัยสำคัญ และมีแนวโน้มยืดเยื้อกว่าการประเมินเบื้องต้น โดยคาดว่าจะกินเวลานาน 2-3 สัปดาห์ และต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นฟูต่อเนื่อง
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อ GDP ของประเทศ เนื่องจากภาคใต้มีสัดส่วนประมาณ 5-8% ของ GDP รวม โดยเฉพาะพื้นที่เศรษฐกิจหลักอย่าง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา (สัดส่วน GDP ราว 1.5%) ที่ได้รับความเสียหายใน 3 ส่วนหลัก ได้แก่ การค้าชายแดน, ภาคเกษตร (ยางพารา), และการท่องเที่ยว
ด้วยผลกระทบทางเศรษฐกิจนี้ จึงมองว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคม 2568 เพิ่มสูงขึ้น
ขณะที่บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) มีมุมมองสอดคล้องกัน โดยมองปัจจัยภายนอกประกอบกับปัจจัยภายใน กล่าวคือ มีความคาดหวังสูงถึง 84% (อ้างอิง CME FED Watch) ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม
เมื่อรวมกับสถานการณ์น้ำท่วมในหาดใหญ่ที่สร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทย และตัวเลขเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ จึงเป็นการเพิ่มน้ำหนักและความน่าจะเป็นที่ ธปท. จะพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยเพื่อพยุงเศรษฐกิจ
แม้ภาพข่าวอุทกภัยในภาคใต้จะดูรุนแรงและอาจสร้างความกังวลต่อนักลงทุน แต่จากการวิเคราะห์ผลกระทบต่อตลาดทุนอย่างละเอียด พบว่า "บาดแผล" ที่เกิดขึ้นกับบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ไม่ได้ลึกอย่างที่หลายคนกังวล
ซึ่ง บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ประเมินว่าผลกระทบเชิงลบจะถูกจำกัดวงอยู่ในเฉพาะกลุ่มและเฉพาะพื้นที่ ดังนี้
ในวิกฤติภัยธรรมชาติ มักเกิดอุปสงค์ในการซ่อมแซมและฟื้นฟูตามมา ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างและรับเหมา ซึ่งมุมมองจาก ฝ่ายวิจัยฯ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า ภาพถ่ายดาวเทียมและแบบจำลอง GISTDA แสดงให้เห็นพื้นที่ท่วมลึกระดับ 1.5-2.0 เมตร และมีความเสี่ยงท่วมสูงถึง 4-5 เมตร
ซึ่งความเสียหายระดับนี้หมายถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานและที่อยู่อาศัย จึงประเมินว่าหุ้นที่จะได้ประโยชน์ ได้แก่
ขณะที่มุมมองจาก บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ระบุข้อมูลพื้นที่ประสบภัยกว่า 3.3 แสนไร่ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ชุมชนและเส้นทางคมนาคม ระดับน้ำท่วมลึก 1.0-2.5 เมตร ถือเป็นปัจจัยบวกเชิงจิตวิทยา ต่อความต้องการสินค้าซ่อมแซมที่อยู่อาศัยหลังน้ำลด โดยเลือกหุ้นเด่นในกลุ่มนี้คือ HMPRO และ GLOBAL เป็นต้น
ด้าน บล.กรุงศรี มองว่า หุ้นกลุ่มจำหน่ายสินค้าซ่อมแซ่มและปรับปรุงบ้าน อาทิ HMPRO ที่แม้ยอดขายระยะสั้นอาจจะสะดุด แต่มีการสาขาในพื้นที่มากสุด (3 แห่ง) DOHOME (1 แห่ง) GLOBAL (ไม่มี) ช่วงฟื้นฟูมีโอกาสเห็นยอดขายเพิ่มกลับมาชดเชยได้ ส่วนหุ้นโรงไฟฟ้าอย่าง EGCO คาดเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าโรงไฟฟ้าขนอมช่วยชดเชยโรงอื่นในพื้นที่ประสบภัยพิบัติ
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้