น้ำท่วมภาคใต้ “ลากยาว” ฉุดเศรษฐกิจไทย เปิดลิสต์หุ้น “เสี่ยงลบ-ได้อานิสงส์บวก” ลุ้น ธปท. ลดดอกเบี้ย

Investment

Capital Market

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

น้ำท่วมภาคใต้ “ลากยาว” ฉุดเศรษฐกิจไทย เปิดลิสต์หุ้น “เสี่ยงลบ-ได้อานิสงส์บวก” ลุ้น ธปท. ลดดอกเบี้ย

Date Time: 26 พ.ย. 2568 13:09 น.

Video

Jack Ma กลับมา จะพา Alibaba สร้างอำนาจใหม่ให้วงการเทคจีนได้ยังไง ? | Digital Frontiers EP.50

Summary

น้ำท่วมใต้ลากยาว กระทบเศรษฐกิจ-กดดัน GDP นักวิเคราะห์ชี้เป็นแรงหนุน ธปท. อาจลดดอกเบี้ย เปิดลิสต์หุ้น "เสี่ยงลบ–ได้อานิสงส์บวก" ที่นักลงทุนต้องจับตา

Latest


ปีนี้ภาคใต้ต้องเผชิญกับน้ำท่วมใหญ่ที่ลากยาวกว่าที่หลายคนคาดไว้ ไม่ใช่แค่เหตุการณ์ฝนตกหนักตามฤดูกาล แต่เป็นสถานการณ์ที่ส่งผลต่อวิถีชีวิต เศรษฐกิจ และภาคธุรกิจในวงกว้างอย่างเห็นได้ชัด

ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่เพียงกระทบผู้คนในพื้นที่ แต่ยังสะเทือนถึงสัญญาณด้านเศรษฐกิจระดับประเทศ จนกลายเป็นเหตุการณ์ที่ทุกฝ่ายต้องจับตาอย่างใกล้ชิด

ในมุมของนักวิเคราะห์ตลาดเงินตลาดทุน เหตุการณ์ครั้งนี้ถูกมองว่าอาจเป็น “ตัวเร่งสำคัญ” ที่ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องทบทวนทิศทางนโยบายการเงินในช่วงปลายปี

โดยเฉพาะการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อช่วยประคองส่งเสริมสภาพเศรษฐกิจที่เริ่มอ่อนแรงจากปัจจัยเฉียบพลันอย่างอุทกภัย และเพื่อให้มีทิศทางสอดคล้องกับธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม เมื่อเศรษฐกิจสั่นไหว ตลาดหุ้นย่อมได้รับผลกระทบตามไปด้วย แต่ผลที่เกิดขึ้นไม่ได้มีเพียงด้านลบอย่างเดียว เพราะในทุกวิกฤติ มักเกิดโอกาสของบางกลุ่มธุรกิจควบคู่กันไป

Thairath Money ชวนเปิดมุมมองนักวิเคราะห์ในประเด็นที่ “นักลงทุนต้องรู้” ท่ามกลางความผันผวนเช่นนี้ สถานการณ์ต่างๆ ล้วนสำคัญต่อทิศทางหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญ


น้ำท่วมหนัก เปิดโอกาส ธปท. ลดดอกเบี้ยช่วย

มุมมองจาก นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน)  ประเมินว่าสถานการณ์น้ำท่วมในภาคใต้ครั้งนี้มีความรุนแรงกว่าปีปกติอย่างมีนัยสำคัญ และมีแนวโน้มยืดเยื้อกว่าการประเมินเบื้องต้น โดยคาดว่าจะกินเวลานาน 2-3 สัปดาห์ และต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นฟูต่อเนื่อง

ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อ GDP ของประเทศ เนื่องจากภาคใต้มีสัดส่วนประมาณ 5-8% ของ GDP รวม โดยเฉพาะพื้นที่เศรษฐกิจหลักอย่าง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา (สัดส่วน GDP ราว 1.5%) ที่ได้รับความเสียหายใน 3 ส่วนหลัก ได้แก่ การค้าชายแดน, ภาคเกษตร (ยางพารา), และการท่องเที่ยว

ด้วยผลกระทบทางเศรษฐกิจนี้ จึงมองว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคม 2568 เพิ่มสูงขึ้น

ขณะที่บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) มีมุมมองสอดคล้องกัน โดยมองปัจจัยภายนอกประกอบกับปัจจัยภายใน กล่าวคือ มีความคาดหวังสูงถึง 84% (อ้างอิง CME FED Watch) ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม

เมื่อรวมกับสถานการณ์น้ำท่วมในหาดใหญ่ที่สร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทย และตัวเลขเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ จึงเป็นการเพิ่มน้ำหนักและความน่าจะเป็นที่ ธปท. จะพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยเพื่อพยุงเศรษฐกิจ


เปิดผลกระทบด้านลบหุ้นไทย ไม่ลึกอย่างที่คิด

แม้ภาพข่าวอุทกภัยในภาคใต้จะดูรุนแรงและอาจสร้างความกังวลต่อนักลงทุน แต่จากการวิเคราะห์ผลกระทบต่อตลาดทุนอย่างละเอียด พบว่า "บาดแผล" ที่เกิดขึ้นกับบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ไม่ได้ลึกอย่างที่หลายคนกังวล

ซึ่ง บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ประเมินว่าผลกระทบเชิงลบจะถูกจำกัดวงอยู่ในเฉพาะกลุ่มและเฉพาะพื้นที่ ดังนี้

  • หุ้น STA หรือ บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายยางธรรมชาติแบบครบวงจร ผลกระทบน้ำท่วม จ.สงขลา มีผลราว 5% ของกำลังผลิต
  • หุ้นกลุ่มธนาคารและเช่าซื้อ หลักประกันโดยเฉพาะรถยนต์เสียหายจากน้ำท่วม กระทบหุ้นที่มีสินเชื่อเชื่อมโยงเช้าซื้อหรือจำนำทะเบียนสูง อาทิ ธนาคาร (KKP, TISCO, TTB) เช่าซื้อ (MTC, SAWAD) ที่ระยะสั้นคาดต้องมีการออกมาตรการช่วยเหลือ อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์พื้นฐานประเมินสัดส่วนสินเชื่อไม่มาก เพราะจำกัดเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบในภาคใต้
  • หุ้นกลุ่มประกัน ที่อาจจะมีค่าใช้จ่ายจากการเคลมความเสียหายจากน้ำท่วม
  • หึ่นกลุ่มค้าปลีก ส่วนใหญ่มีสาขาราว 1-3 แห่ง และสัดส่วนรายได้น้อยกว่า 1% ของรายได้รวม
  • หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว CENTEL มีโรงแรม 1 แห่ง (จาก 16 แห่งในไทยที่บริษัทเป็นเจ้าของ) ส่วน ERW โรงแรมแบรนด์ Hop Inn จำนวน 2 แห่ง (จาก 79 แห่งในไทย)
  • หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล BDMS มีโรงพยาบาลในพื้นที่หาดใหญ่ 1 แห่ง สัดส่วนรายได้ต่ำกว่า 2%


เปิดผลกระทบด้านบวกหุ้นไทย

ในวิกฤติภัยธรรมชาติ มักเกิดอุปสงค์ในการซ่อมแซมและฟื้นฟูตามมา ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างและรับเหมา ซึ่งมุมมองจาก ฝ่ายวิจัยฯ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า ภาพถ่ายดาวเทียมและแบบจำลอง GISTDA แสดงให้เห็นพื้นที่ท่วมลึกระดับ 1.5-2.0 เมตร และมีความเสี่ยงท่วมสูงถึง 4-5 เมตร 

ซึ่งความเสียหายระดับนี้หมายถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานและที่อยู่อาศัย จึงประเมินว่าหุ้นที่จะได้ประโยชน์ ได้แก่

  • กลุ่มรับเหมา-วัสดุก่อสร้าง STEC, CK, TASCO, SCC, SCGD, TOA
  • กลุ่มค้าปลีกวัสดุ HMPRO, DOHOME, BJC

ขณะที่มุมมองจาก บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ระบุข้อมูลพื้นที่ประสบภัยกว่า 3.3 แสนไร่ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ชุมชนและเส้นทางคมนาคม ระดับน้ำท่วมลึก 1.0-2.5 เมตร ถือเป็นปัจจัยบวกเชิงจิตวิทยา ต่อความต้องการสินค้าซ่อมแซมที่อยู่อาศัยหลังน้ำลด โดยเลือกหุ้นเด่นในกลุ่มนี้คือ HMPRO และ GLOBAL เป็นต้น

ด้าน บล.กรุงศรี มองว่า หุ้นกลุ่มจำหน่ายสินค้าซ่อมแซ่มและปรับปรุงบ้าน อาทิ HMPRO ที่แม้ยอดขายระยะสั้นอาจจะสะดุด แต่มีการสาขาในพื้นที่มากสุด (3 แห่ง) DOHOME (1 แห่ง) GLOBAL (ไม่มี) ช่วงฟื้นฟูมีโอกาสเห็นยอดขายเพิ่มกลับมาชดเชยได้ ส่วนหุ้นโรงไฟฟ้าอย่าง EGCO คาดเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าโรงไฟฟ้าขนอมช่วยชดเชยโรงอื่นในพื้นที่ประสบภัยพิบัติ


อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ