เบื้องหลังกลยุทธ์ “เมย์แบงก์” จากโบรกเกอร์หุ้น สู่ Financial Advisory ครบวงจร

นักลงทุนรุ่นใหม่อยากมีทางเลือกมากขึ้น ถ้าจะเปิดพอร์ตทั้งที ต้องลงทุนได้ทั้งไทยและต่างประเทศ ไม่ว่าจะหุ้น ตราสารหนี้ ไปจนถึงมีบริการที่ช่วยคิดและให้คำแนะนำตามเป้าหมายของแต่ละคน จากอินไซต์เหล่านี้ทำให้บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เร่งยกระดับบริการให้หลากหลาย ให้เข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่มทั้งสถาบัน รวมถึงกลุ่มรายย่อย

เนธิตา กระบวนรัตน์ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายบริหารการลงทุน บริษัท หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังจากโควิด เมย์แบงก์ปรับให้บริการต่างๆ แข็งแรงขึ้น ทั้งฝั่งลูกค้าสถาบัน ลูกค้ารายย่อยที่พัฒนาโปรดักต์ให้หลากหลายตั้งแต่ หุ้นไทย, หุ้นต่างประเทศ, กองทุนรวม, Private Wealth และอื่นๆ ในช่วงปลายปี 2568 นี้คาดว่าจะพัฒนาสู่ตลาดรองตราสารหนี้ และบริการ Private Fund ที่มีใบอนุญาตฯ อยู่แล้ว

“เมื่อลูกค้าเดินเข้ามาหาเมย์แบงก์จะได้เป็น Investment Solution เพราะเราไม่ได้เก่งแค่เรื่องหุ้นอย่างเดียว แต่เป็น Boutique Financial Advisory ที่มีผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลาย ยืดหยุ่นและเปิดกว้าง เช่น กองทุนรวม เราเลือกกองที่ดีที่สุด ที่เหมาะกับ Profile ของลูกค้า ไม่ได้บังคับว่าจะต้องขายโปรดักต์ของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง”

แน่นอนว่า เมย์แบงก์ให้ความสำคัญกับการทำความเข้าใจเป้าหมาย ความต้องการของลูกค้า รวมถึงระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และจะคัดสรรโปรดักต์ที่ตอบโจทย์ที่สุดให้กับลูกค้าเสมอ ซึ่งโปรดักต์ที่มีให้ลูกค้าเลือกไม่ใช่แค่ระดับภูมิภาคแต่เป็นระดับ Global เพราะมีความร่วมมือกับบริษัทในเครือของ เมย์แบงก์ และ Partners ที่มีอยู่ทั่วโลก

เมื่อเมย์แบงก์มีศักยภาพพร้อมเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงเตรียมขยายทีมที่ปรึกษาการลงทุนอีก 500 คน โดยจะคัดสรรคนที่คุณภาพและมี DNA ตรงกันมาร่วมงาน ผ่านระบบการพัฒนาบุคลากรที่วัดผลลัพธ์ในแต่ละเดือนอย่างชัดเจน คาดว่าสิ้นปี 2568 จะมีเข้ามาร่วมทำงานมากกว่า 100 คน

ภายในต้นปี 2569 ทางเมย์แบงก์เตรียมปรับใช้ AI มาพัฒนาฟีเจอร์ใหม่บนแอปพลิเคชัน Maybank Invest (MBi) สำหรับลูกค้าที่มีพอร์ตการลงทุนแล้วจะมี Health Score ขึ้นมาให้รู้ว่าสุขภาพพอร์ตการลงทุนปัจจุบันดีแค่ไหน ถ้าอยากขยับให้คะแนนสูงขึ้น ในแอปฯ จะมีโซลูชันว่าควรปรับแผนการลงทุนที่เหมาะสมกับ Profile ของคุณอย่างไร โดยที่ผ่านมาเราได้ให้คำแนะนำในลักษณะนี้แก่กลุ่มผู้ลงทุนรายใหญ่ (High-Net-Worth) ที่มีอยู่ราว 3,000 ราย และจะนำสิ่งเหล่านี้มาขยายสู่ฐานลูกค้ารายย่อย

“ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่เรามองไปในอนาคตว่า Gen ใหม่ๆ ที่เข้ามา เขามีชีวิตอยู่กับ AI อยู่กับเทคโนโลยี การลงทุนก็จะเป็นหนึ่งในชีวิตประจำวันที่เขาทำผ่านเทคโนโลยี นั่นก็เป็นเหตุผลที่ทางเมย์แบงก์ พยายามพัฒนา MBi ขึ้นมา เพราะในอีก 3-4 ปีข้างหน้า เปอร์เซ็นต์ของลูกค้าที่ลงทุนโดยไม่ผ่านคน จะสูงขึ้นเรื่อยๆ แอปฯ นี้จะเป็นเครื่องมือให้เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่เหล่านี้”

ขณะที่กลุ่มฐานลูกค้าหลักในปัจจุบันที่ต้องการบริการที่ต่างจาก Young Gen จะเน้นการบริการ Private Fund (สำหรับสินทรัพย์ลงทุน 5 ล้านบาทขึ้นไป) โดยเราคัดสรรผู้จัดการกองทุนพร้อมทีมทำงานเพื่อออกแบบให้ตอบโจทย์ลูกค้า ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนรอ Activate ใบอนุญาตที่มีอยู่จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

นอกจากนี้ ลูกค้าแต่ละกลุ่มรวมถึงกลุ่ม High Net Worth ยังได้รับ Privilege อีกมากมายหลายด้านที่มากกว่าเรื่องการลงทุนมาให้เลือก เช่น หมวดสุขภาพที่เมื่อใช้บริการโรงพยาบาลจะได้รับบริการที่ดียิ่งขึ้น เพื่อให้ชีวิตของลูกค้ามีความสุขอย่างรอบด้าน

เมย์แบงก์ให้ความสำคัญกับทุกเรื่องในชีวิตของลูกค้า โดยเฉพาะการลงทุนท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอน เมย์แบงก์ยังยึดมั่นในหลักการ Asset Allocation ซึ่งเป็นพื้นฐานของการลงทุนที่ทุกคนควรมี ยิ่งโลกสมัยนี้ Economic Globalization หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด การกระจายความเสี่ยง (Diversify) ยิ่งสำคัญและเป็นเรื่องที่เราต้องสร้างความเข้าใจให้กับลูกค้า

“ไม่ว่าสถานการณ์ตลาดจะเป็นอย่างไร เราอยากจะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเราไม่ทอดทิ้งเขา อย่างวันที่ตลาดหุ้นไม่ดี เราต้องมีโปรดักต์อะไรที่เราคิดว่าจะทำให้ลูกค้าได้เงิน ได้ผลประโยชน์จากการที่ไม่ต้องเอาเงินมาวางไว้เฉย ๆ แม้วันที่ดีเราอาจไม่ต้องทำอะไรมาก แต่วันนี้ในวันที่ไม่ดี เราจะดูแลเขาให้ดีที่สุดอย่างไรต่างหากที่สำคัญ”