รัฐอัดมาตรการ Quick Big Win หุ้นตัวไหนจะวิ่งแรง? รับเงินรัฐสะพัด 6.6 หมื่นล้านหวังดัน GDP

Investment

Capital Market

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

รัฐอัดมาตรการ Quick Big Win หุ้นตัวไหนจะวิ่งแรง? รับเงินรัฐสะพัด 6.6 หมื่นล้านหวังดัน GDP

Date Time: 2 ต.ค. 2568 12:46 น.

Video

Jack Ma กลับมา จะพา Alibaba สร้างอำนาจใหม่ให้วงการเทคจีนได้ยังไง ? | Digital Frontiers EP.50

Summary

รัฐบาลเตรียมอัดฉีด 6.6 หมื่นล้านบาทกระตุ้นเศรษฐกิจไตรมาส 4/68 จับตาหุ้นกลุ่มค้าปลีก, ท่องเที่ยว, นิคมฯ รับประโยชน์เต็มๆ บวกกับปัจจัยหนุนจากการลุ้นลดดอกเบี้ย

Latest


นักลงทุนที่กำลังมองหาจังหวะเข้าลงทุน อาจจะสงสัยว่าช่วงปลายปีแบบนี้ ตลาดหุ้นมีอะไรน่าสนใจบ้าง ต้องบอกเลยว่าตอนนี้ รัฐบาลกำลังเตรียมอัดฉีดเงินก้อนใหญ่ถึง 6.6 หมื่นล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงโค้งสุดท้ายของปีให้ไตรมาส 4/68 โตเกิน 1% จากเดิมคาดแค่ 0.3-0.5%

ซึ่งเมื่อเงินเริ่มหมุนในระบบ ก็ย่อมสร้างโอกาสให้กับธุรกิจและหุ้นในกลุ่มต่างๆ นั่นเอง โดยรัฐบาลมีแผนกระจายเงินไปยัง 3 ส่วนหลักๆ ส่วนแรกคือการ "เติมเงินเข้ากระเป๋า" ให้ประชาชนโดยตรงผ่านบัตรสวัสดิการและโครงการคนละครึ่ง เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย

ส่วนที่สองคือการ "ส่งเสริมการท่องเที่ยว" ผ่านการลดหย่อนภาษีและเร่งใช้งบจัดสัมมนา และส่วนสุดท้ายที่เป็นเหมือนไฮไลท์คือการ "ปลดล็อกโครงการลงทุนยักษ์ใหญ่" ที่ค้างอยู่ ซึ่งจะทำให้เกิดการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมจริงๆ

ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ นอกจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว ยังมีปัจจัยบวกอื่นๆ รออยู่อีก ทั้งการลุ้นให้ธนาคารแห่งประเทศไทย "ลดดอกเบี้ย" ซึ่งจะช่วยให้บริษัทต่างๆ มีต้นทุนทางการเงินที่ถูกลง

และยังมีสถิติที่บอกว่าเดือนตุลาคมนี้ มักจะเป็นช่วงเวลาที่ดีของตลาดหุ้นไทยอีกด้วย ปัจจัยบวกหลายๆ อย่างที่เข้ามาพร้อมกันแบบนี้ ทำให้ช่วงเวลานี้น่าติดตามอย่างมาก เพื่อค้นหาว่า "หุ้นตัวไหน" จะได้รับประโยชน์จากสถานการณ์นี้ไปเต็มๆ


เจาะลึกมาตรการ 6.6 หมื่นล้าน อัดฉีดเงินเข้าระบบ

อย่างที่รู้กันว่ารัฐบาลนี้มีเวลาทำงานแค่ 4 เดือน ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ความหวังในการเห็นการเร่งอัดฉีดเม็ดเงิน 6.6 หมื่นล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจก็เลยชัดเจนขึ้น ว่ากันง่ายๆ คือเงินก้อนนี้จะถูกส่งไปเติมในระบบเศรษฐกิจ แบ่งออกเป็น 3 กองใหญ่ๆ ดังนี้

กองที่ 1 เติมเงินให้ประชาชนใช้จ่าย

บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ - พี่ป้าน้าอากลุ่มฐานรากเตรียมเฮ เพราะรัฐจะเติมเงินพิเศษให้อีก 1,700 บาท ในเดือน พ.ย. และ ธ.ค. รวมกับของเดิม 300 บาท ก็เป็นเดือนละ 2,000 บาท ไว้จับจ่ายใช้สอยกัน

คนละครึ่งพลัส - รัฐจะให้เงินสมทบ 2,000 บาท (ใครยื่นภาษีได้เพิ่มเป็น 2,400 บาท) ผ่านแอปฯ "เป๋าตัง" เหมือนเดิม แต่รอบนี้มีเงื่อนไขนิดหน่อย

  • จำกัดสิทธิ์ 20 ล้านคน
  • ลงทะเบียน: 20-26 ต.ค. นี้
  • เริ่มใช้: 29 ต.ค. เป็นต้นไป

สำหรับ 2 มาตรการนี้ บทวิเคราะห์จาก บล.กรุงศรี ระบุว่า หุ้นที่ได้ประโยชน์ตรงๆ แน่นอนว่าต้องเป็นกลุ่มค้าปลีกที่เน้นของกินของใช้ในชีวิตประจำวันอย่าง TNP, CPAXT, BJC และกลุ่มเครื่องดื่มและของใช้ส่วนตัวอย่าง ICHI, SAPPE, NEO

ส่วน CPALL แม้จะไม่ได้เข้าร่วมคนละครึ่งโดยตรง แต่ก็ได้อานิสงส์ทางอ้อม รวมถึงกลุ่มการเงินอย่าง MTC, SAWAD ด้วยเช่นกัน

กองที่ 2 กระตุ้นเที่ยวแหลก-จัดงานรัวๆ

รัฐบาลเตรียมเสนอมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวต่อ ครม. เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองรอง โดยการใช้มาตรการหักลดหย่อนภาษี สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวในเมืองรองได้ 2 เท่า เบื้องต้นคาดว่าจะกำหนดวงเงินลดหย่อนสูงสุด 40,000 บาท

นอกจากนี้ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจจะต้องเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณสัมมนา/จัดงานต่างๆ ให้เสร็จสิ้นภายใน 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ โดยทั้งสองส่วนมีงบประมาณที่สามารถใช้ได้รวมกันกว่า 8,000 ล้านบาท

แน่นอนว่าหุ้นที่ได้ประโยชน์ตรงๆ ก็คือกลุ่มท่องเที่ยวและสายการบินที่เน้นในประเทศที่เตรียมรับทรัพย์ไปเต็มๆ ซึ่ง บล.กรุงศรี ชี้เป้าไม่ว่าจะเป็นโรงแรมอย่าง ERW, CENTEL หรือสายการบินอย่าง AAV เป็นต้น

กองที่ 3 ปลดล็อกโปรเจกต์ยักษ์ "Fast Pass" 

อันนี้เรื่องใหญ่เลย! รัฐบาลจะเดินหน้าโครงการ Fast Pass เพื่อแก้ปัญหาเงินลงทุนที่ขอ BOI ไปแล้วแต่ยังค้างท่ออยู่ ซึ่งมีมูลค่ามหาศาลถึง 4.7 แสนล้านบาท เงินก้อนนี้ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การสร้าง Data Center

ซึ่งหุ้นที่ได้ประโยชน์ตรงๆ บล.กรุงศรี บอกว่าต้องเป็นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เช่น WHA, AMATA เมื่อมีการลงทุนสร้างโรงงาน ที่ดินก็ต้องขายดีเป็นธรรมดา นอกจากนี้ Data Center ยังใช้ไฟมหาศาล หุ้นโรงไฟฟ้าอย่าง GULF, BGRIM รวมถึงหุ้นสื่อสาร อย่าง ADVANC, TRUE และที่ปรึกษาดิจิทัลอย่าง BBIK ก็ได้ประโยชน์ไปด้วย

นอกจากมาตรการรัฐแล้ว ด้าน บล.พาย ก็แนะนำให้จับตาอีกปัจจัยสำคัญ นั่นคือ การประชุม กนง. (คณะกรรมการนโยบายการเงิน) วันที่ 8 ต.ค.นี้ ซึ่งจะเป็นการประชุมภายใต้ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติคนใหม่ หลายฝ่ายลุ้นกันว่าอาจจะมีการ "ปรับลดดอกเบี้ย" เพราะตอนนี้เศรษฐกิจบ้านเราโตช้า แถมเงินเฟ้อก็ต่ำ การลดดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกทาง

ถ้าลดดอกเบี้ยจริง บล.พาย ชี้เป้าว่า กลุ่มการเงินและอสังหาฯ จะได้ประโยชน์ เมื่อต้นทุนการเงินลดลง กำไรก็ดีขึ้น เช่น MTC, AP, SPALI เป็นต้น ขณะที่กลุ่มค้าปลีก อย่าง CPALL อาจได้รับอานิสงส์จากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นด้วย

ในอีกมุมมองหนึ่ง บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุว่า โดยปกติแล้วตลาดหุ้นจะดีในช่วงเข้าสู่ไตรมาส 4/68 อย่างเป็นทางการ หากดูจากสถิติย้อนหลัง ดัชนี SET Index ปรับตัวขึ้นในเดือน ต.ค. (เปลี่ยนไตรมาส) จำนวน 9 ครั้ง จากทั้งหมด 15 ครั้ง 

สำหรับในปีนี้ หากมาตรการรัฐบาลเป็นไปด้วยดี ความกดดันจากการเมืองภายในประเทศต่ำ คาดว่าดัชนีจะยังคงปิดบวกได้อีกครั้ง ซึ่งแนะนำให้เก็งกำไรในช่วงสั้นๆ (Trading) และสะสมหุ้นที่ราคาปรับตัวลงมามาก พร้อมแนะนำหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูง นอกจากจะดีในสภาวะตลาดที่มีความไม่แน่นอนแล้ว การที่ รมว.คลัง เห็นด้วยกับโครงการ TISA (สิทธิลดหย่อนภาษี)  หากมีการนำมาใช้จริง จะบวกต่อหุ้นที่เป็นปันผลสูง เช่น SCB, KTB, PTT, PTTEP, ADVANC, SPALI เป็นต้น


ภาพรวมตอนนี้ถือว่าชัดเจนและน่าสนใจมาก มีปัจจัยบวกรออยู่หลายเรื่องเลย แต่อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ บทความนี้เป็นเพียงการสรุปข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจ อย่าลืมกลับไปทำการบ้านศึกษาข้อมูลเชิงลึกของแต่ละบริษัทก่อนลงทุนกันด้วย…ขอให้ทุกคนโชคดีกับการลงทุน

อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ