ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) อัพเดทความคืบหน้าโครงการต่างๆ ลุยฟื้นความเชื่อมั่นนักลงทุน และเพิ่มเสน่ห์ให้ตลาดทุนไทย หลังเผชิญมรสุมความผันผวนอย่างหนัก โดยศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ ตลท. ชี้ภารกิจเร่งด่วนคือการ "สร้างความไว้วางใจและความเชื่อมั่น" ให้กลับคืนมา เตรียมยกเครื่องกฎเกณฑ์ พร้อมผลักดัน "TISA” เป็นเรือธงกระตุ้นการลงทุนระยะยาว
ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า แผนการดำเนินงานสำคัญ ท่ามกลางภาวะตลาดหุ้นไทยที่ผันผวนอย่างยิ่งในช่วง 15 เดือนที่ผ่านมา ตลาดทุนไทยเผชิญความท้าทายหลายด้านและไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป หน้าที่หลักคือการ "สร้างความเชื่อมั่น (Trust and Confidence)" ให้กลับคืนมา พร้อมยกเครื่องกฎเกณฑ์ และผลักดันโครงการ "TISA" (Thailand Investment Saving Account) หวังดึงดูดการลงทุนระยะยาว
สำหรับปัญหาความไม่เท่าเทียมในการซื้อขายหุ้นและเหตุทุจริตต่างๆ ที่ได้บั่นทอนความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะประเด็นการซื้อขายที่อาจสร้างความไม่เป็นธรรม เช่น การทำชอร์ตเซล (Short Sell), การซื้อขายความถี่สูง (HFT) หรือการใช้โรบอทเทรด ที่ถูกมองว่าเอาเปรียบผู้ลงทุนรายย่อยนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เข้ามาปรับปรุงกฎเกณฑ์ต่างๆ ให้เกิดความเท่าเทียมมากที่สุด
นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ แก้ไขกฎกระทรวงเกี่ยวกับหุ้นซื้อคืน (Treasury Stock) ซึ่งเดิมมีข้อจำกัดมาก คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในเดือนพฤษภาคมนี้ โดยประเด็นหลักคือผ่อนคลายเกณฑ์ด้านระยะเวลาการทำโครงการใหม่โดยไม่ต้องรอ 6 เดือน และขยายเวลาในการขายหุ้นซื้อคืนจาก 3 ปี เป็น 5 ปี
ปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ซื้อหุ้นคืนแล้ว 37 ราย คิดเป็นมูลค่าเกือบ 6 พันล้านบาท สูงกว่ายอดซื้อหุ้นคืนทั้งปีของปีก่อน ซึ่งจะเป็นเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ตลาดทุน และช่วยให้ค่า P/E ของบริษัทดีขึ้น
นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำลังอยู่ในขั้นตอนการคัดเลือกพันธมิตรผู้พัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระดับโลก เพื่อจับมือและนำมาประยุกต์ใช้ในการกำกับการซื้อขาย ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับการตรวจสอบและเพิ่มความรวดเร็วในการดำเนินการ
ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทำให้การดำเนินการต่างๆ มีความรวดเร็วขึ้นมากด้วย
ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวอีกว่า เพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้ตลาดทุนไทย ตลาดหลักทรัพย์ฯ เตรียมเปิดตัวโครงการ "Jump+" ในเดือนมิถุนายนนี้ พร้อมทั้งสนับสนุนให้บริษัทในกลุ่มเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) เช่น บริษัท Deep Tech หรือ Start-up รวมถึงบริษัทต่างชาติให้เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยอาจมีการพิจารณาปรับปรุงเกณฑ์การจดทะเบียน เช่น ไม่จำเป็นต้องมีกำไรติดต่อกัน 3 ปี และอาจมีการจัดตั้งกระดานซื้อขายใหม่สำหรับบริษัทเหล่านี้ คล้ายกับในต่างประเทศ
อีกหนึ่งโครงการสำคัญ คือ "TISA" ซึ่งเป็นบัญชีเพื่อการออมและการลงทุนในหุ้นระยะยาวสำหรับคนไทย โดยกำลังอยู่ระหว่างการหารือกับกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) และสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเสนอต่อกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น การยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีเงินปันผล 10% ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง จะต้องมีการแก้ไขประมวลรัษฎากร และเสนอเข้าสู่ ครม. ต่อไป
โดยแนวคิดนี้คล้ายกับ โครงการ NISA ของญี่ปุ่น ที่มีการจำกัดวงเงินลงทุน (ในญี่ปุ่นประมาณ 20 ล้านเยน) เมื่อครบกำหนดอายุการลงทุน ก็สามารถขายได้โดยได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมการออมของคนไทยให้สูงขึ้นในอนาคต
นอกจากนี้ ในแผนงานสำคัญของ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมีโครงการที่น่าสนใจอื่นๆ อีกมาก ได้แก่
ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ ย้ำว่า แผนงานต่างๆ เหล่านี้ จะดำเนินการร่วมกับคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ , สำนักงาน ก.ล.ต., และกระทรวงการคลัง โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำงานใกล้ชิดกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายเพื่อทำให้ตลาดทุนไทยเป็นตลาดของทุกคน ตามแนวคิด To Make the Capital Market "Work" for Everyone
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้