ท่ามกลางกระแสจับตาแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ฉบับใหม่ ที่เปรียบเสมือนลายแทงขุมทรัพย์แห่งการเติบโตของผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า ล่าสุด บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด (WEH) หนึ่งในผู้เล่นสำคัญในตลาดพลังงานหมุนเวียน เปิดเผยกลยุทธ์การเติบโตระยะยาวที่สอดคล้องไปกับแผนดังกล่าว
WEH ตั้งเป้าหมายขยายกำลังการผลิต 2,000 เมกะวัตต์ และสร้างรายได้ต่อปีถึงระดับ 20,000 ล้านบาท ในปี 2580 โดยเตรียมความพร้อมในการเข้าร่วมประมูลโครงการพัฒนาโรงไฟฟ้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมประเมินว่าตลาดยังมีศักยภาพอีกมาก
ณัฐพศิน เชฎฐ์อุดมลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร WEH กล่าวว่า บริษัทกำลังเข้าสู่ช่วงการเติบโตครั้งใหม่ โดยมีการพัฒนาโครงการเพิ่มเติมเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี และคาดการณ์ว่ารายได้ในปี 2568 จะมีการเติบโตประมาณ 5-10%
ทั้งนี้ ในปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัทมีความคืบหน้าสำคัญ โดยชนะการประมูลโครงการใหม่ 4 โครงการ แบ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานลม 3 โครงการ และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 1 โครงการ คิดเป็นกำลังการผลิตรวม 299.1 เมกะวัตต์ ซึ่งส่งผลให้กำลังการผลิตในพอร์ตโฟลิโอเพิ่มขึ้นตามเป้าหมายที่ระดับ 1,000 เมกะวัตต์ โครงการใหม่ทั้ง 4 แห่ง ทยอยกำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) ระหว่างปี 2570-2573
ปัจจุบัน WEH เป็นผู้ดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมเชิงพาณิชย์ 8 โครงการ มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 717 เมกะวัตต์ ประกอบด้วยกังหันลมทั้งสิ้น 270 ต้น ทำให้บริษัทเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งสามารถมีผลการดำเนินงานที่สร้างกำไรสุทธิได้อย่างมีเสถียรภาพ เป็นผลมาจากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งเป็นคู่สัญญาที่มีความน่าเชื่อถือในการชำระเงิน ทำให้บริษัทมีกระแสรายได้ที่มั่นคง
บริษัทมีแผนเดินหน้าขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดรับกับแผน PDP ฉบับใหม่ (ปี 2567-2580) ซึ่งคาดว่าจะมีการกำหนดเป้าหมายการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานลมที่ 5,345 เมกะวัตต์ ภายใต้เป้าหมายรวมของพลังงานหมุนเวียนที่ 34,851 เมกะวัตต์
WEH ประเมินว่า เป้าหมายดังกล่าวของภาครัฐ ก่อให้เกิดโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญ ประกอบกับการพัฒนาของเทคโนโลยีพลังงานลมในปัจจุบัน ทำให้บริษัทตั้งเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งรวมให้ถึง 2,000 เมกะวัตต์ และสร้างรายได้ต่อปีให้ถึงระดับ 20,000 ล้านบาท ภายในปี 2580
นอกเหนือจากการลงทุนในประเทศ WEH ยังอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าในต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย บริษัทกำลังพิจารณาทางเลือกในการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจหลายราย ซึ่งอาจนำไปสู่การลงทุนในรูปแบบกิจการร่วมค้า
ส่วนแผนการนำหุ้นของบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (IPO) นั้น ณัฐพศิน ระบุว่า ปัจจุบันบริษัทมีความพร้อมในด้านระบบบัญชีและผลการดำเนินงานแล้ว แต่การตัดสินใจดำเนินการนี้ ขึ้นอยู่กับการเจรจาและข้อตกลงร่วมกับกลุ่มผู้ถือหุ้นที่ถือครองสัดส่วนประมาณ 38% ของหุ้นทั้งหมด อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการบริหารชุดปัจจุบันส่วนใหญ่ได้รับการแต่งตั้งจากกลุ่มผู้ถือหุ้นหลักซึ่งถือครองสัดส่วน 62%
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้