เปิดลิสต์หุ้นเด่น รับเม็ดเงินรัฐ อัดฉีดเศรษฐกิจ - กระตุ้นการบริโภค ไม่ต่ำ 5 แสนล้าน หวังประคอง GDP

Investment

Capital Market

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

เปิดลิสต์หุ้นเด่น รับเม็ดเงินรัฐ อัดฉีดเศรษฐกิจ - กระตุ้นการบริโภค ไม่ต่ำ 5 แสนล้าน หวังประคอง GDP

Date Time: 24 เม.ย. 2568 11:29 น.

Video

กลเม็ดแบบ Netflix ทำไมคู่แข่งเลียนแบบให้ตายยังไง ก็ไล่ไม่ทัน | Digital Frontiers

Summary

  • ท่ามกลางความกังวลด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลเตรียมอัดฉีดเม็ดเงินกว่า 5 แสนล้านบาท เพื่อรับมือผลกระทบสงครามการค้า นักวิเคราะห์ฯ ชี้เป้ากลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์

Latest


หลังจากที่ตลาดหุ้นไทยได้รับแรงกดดันจากปัจจับลบรอบด้านมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ รวมถึงผลกระทบที่ยืดเยื้อจากสงครามการค้า ทำให้ในเวลานี้ภาวะที่ตลาดหุ้นไทยยังเผชิญความผันผวนและดูไม่สดใสนัก

แต่ท่ามกลางปัจจัยท้าทายเหล่านี้ ก็ยังมีสัญญาณความหวังจากการเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของภาครัฐ ซึ่งนับเป็นปัจจัยบวกสำคัญที่อาจเข้ามาช่วยพยุงบรรยากาศการลงทุน

ล่าสุด รัฐบาลประกาศเตรียมอัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ ด้วยวงเงินที่คาดว่าจะไม่ต่ำกว่า 500,000 ล้านบาท เพื่อรับมือกับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะผลกระทบจากสงครามการค้า และเพื่อพยุงอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไม่ให้ชะลอตัวลงไปมากนัก

โดยแนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจจะมุ่งเน้นไปที่ 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่

  • การกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ
  • การส่งเสริมการลงทุนในประเทศ
  • การสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan)

การอัดฉีดเม็ดเงินจำนวนมากเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจครั้งนี้ คาดว่าจะส่งผลบวกต่อภาคธุรกิจและสร้างโอกาสให้กับหุ้นในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ ได้เริ่มประเมินและให้มุมมองเกี่ยวกับกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์ ดังนี้

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเปิดเผยว่าจากความเสี่ยงรอบด้านที่เข้ามากระทบเศรษฐกิจไทยมากขึ้น จนหลายสำนักเศรษฐกิจทยอยปรับลดประมาณการ GDP ไทยปี 2568 ลง ได้เตรียมแผนและมาตรการเข้ามาดูแลกระตุ้นเศรษฐกิจในส่วนที่จะลดลงไปอยู่แล้ว เพื่อรักษาจีดีพีให้เติบโตได้ในระดับเดิม

โดยลักษณะโครงการจะต้องมีขนาดใหญ่พอที่จะทำให้เกิดแรงกระตุ้นทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ส่วนตัวมองว่าน่าจะต้องใช้เม็ดเงินไม่ต่ำกว่า 500,000 ล้านบาท โดยให้ความสำคัญไปที่เรื่องการกระตุ้นการบริโภค รวมถึงการลงทุนในประเทศ ตลอดจนการจัดสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ แนวทางดังกล่าว ประเมินบวกต่อหุ้นในกลุ่ม ดังนี้

  • กลุ่มอิงบริโภคภายใน ได้แก่ CPALL, BJC, HMPRO
  • กลุ่มได้ประโยชน์จากการลงทุนภาครัฐฯ ได้แก่ STECON, PYLON, TASCO, BA
  • กลุ่มเดินหน้า New S Curve ของรัฐฯ ได้แก่ GULF, GPSC, DELTA, INSET
  • กลุ่มที่มูลค่าหุ้นปรับตัวลงมาลึก ได้แก่ SCGP, MINT, BDMS, BH, BBL, KBANK, AOT เป็นต้น

ด้านฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า ฝั่งรัฐบาลเตรียมออกมาตรการพยุงเศรษฐกิจรับมือสงครามการค้า ซึ่งมองว่าน่าจะใช้เม็ดเงินไม่ต่ำกว่า 500,000 ล้านบาท เพื่อให้มูลค่า GDP ไม่ชะลอตัวลงมากเกินไป

โดยหากรัฐบาลเลือกกู้เงินเพิ่มอีก 5 แสนล้านบาท จะกระทบหนี้สาธารณะต่อ GDP เพิ่ม 3% มาอยู่ที่ 67.21% ระยะถัดไปมีโอกาสสูงที่จะเกิดการขยายเพดานหนี้สาธารณะเป็น 75-80% ซึ่งทางรัฐบาลมองว่าไม่กระทบต่อความเชื่อมั่นของประเทศมากนัก (CREDIT RATING) และกังวลการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/68 มากกว่า

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยดูแข็งแรงขึ้น เพราะนักลงทุนปรับพอร์ตเตรียมตัวรับข่าวลบต่างๆ มาในระดับหนึ่งแล้ว สะท้อนได้จากช่วง 9 –22 เม.ย. 2568 เวลาข่าวลบเข้ามาหุ้นลงน้อย (เฉลี่ยทรงๆ ตัว 0.2% ต่อวัน) เวลาข่าวบวกเข้ามาหุ้นขึ้นเยอะ (0.8% และ 4.2% ต่อวัน)

ขณะที่ยังมีปัจจัยหนุนตลาดรออยู่ใน 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า ทั้งการเข้าสู่ 100 วันแรกที่ทรัมป์รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ, กนง. มีโอกาสลดดอกเบี้ย, รัฐลดค่าโอนจดจำนองอสังหาฯ, และเริ่มมีแรงซื้อจากกองทุน THAI ESGX ทยอยเข้ามา

ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุน แนะนำ 10 หุ้นเด่น แบ่งเป็น

  • 5 หุ้นเก็งกำไร หวังรีบาวน์แรง ได้แก่ DELTA, AMATA, SCGP, TOP, AOT 
  • 5 หุ้น สะสมระยะกลางยาว ได้แก่ SCC, CPALL, BDMS, WHA, CK


อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ