
การประกาศขึ้นกำแพงภาษีของสหรัฐฯ กับไทย 36% เมื่อคืนที่ผ่านมา (ตามเวลาประเทศไทย) ได้สร้างความกังวลและส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ บลจ.ไทยพาณิชย์ (SCBAM) ได้ประเมินสถานการณ์ โดยมองว่าแม้ผลกระทบระยะสั้น คือความผันผวนของตลาดสินทรัพย์เสี่ยง แต่ยังต้องติดตามผลกระทบอื่นในอนาคตอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ ผลกระทบดังกล่าว อาจนำไปสู่การทบทวนเป้าหมายดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ปี 2568 ที่เดิมคาดการณ์ไว้ที่ 1,360 จุด หากสถานการณ์ส่งผลกระทบรุนแรงกว่าคาด พร้อมแนะนำกลยุทธ์การลงทุนโดยเน้น 3 ธีมหลัก ได้แก่ หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล หุ้นกลุ่มการเงิน และหุ้นที่อิงกับการบริโภคในประเทศ
ณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SCBAM เปิดเผยว่า กรณีที่สหรัฐอเมริกาประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทย ปัจจัยแรกที่เห็นได้ชัดคือผลกระทบเชิงจิตวิทยา ซึ่งเป็นการตอบโต้ทางการค้าผ่านกำแพงภาษีตามแนวทางนโยบายที่ชัดเจนของสหรัฐฯ ที่มุ่งนำรายได้ส่วนนี้ไปชดเชยการลดภาษีภายในประเทศ
อย่างไรก็ตาม การประเมินผลกระทบในระยะยาวยังคงต้องพิจารณาปัจจัยอีกมาก และเชื่อว่าจะต้องมีการเจรจาต่อรองระหว่างประเทศคู่ค้า ซึ่งอาจทำให้ตัวเลขภาษีที่ประกาศออกมายังไม่มีผลบังคับใช้ทันที
สำหรับผลกระทบในระยะสั้น ณรงค์ศักดิ์ คาดว่าจะเกิดความผันผวนในตลาดสินทรัพย์เสี่ยงจากความไม่แน่นอน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อตลาดในช่วง 5-10 วันข้างหน้า รวมถึงอัตราดอกเบี้ยในตลาดพันธบัตรด้วย
ขณะที่ทองคำซึ่งถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) อาจปรับตัวขึ้นได้ แต่ก็ต้องพิจารณาว่าราคาปัจจุบันได้ปรับขึ้นมาค่อนข้างมากแล้ว
“ช่วง 5-10 วันนี้ ทุกอย่างคงจะผันผวน อาจจะมีราคาทองที่ปรับเพิ่มขึ้นจากการถูกมองว่าเป็น safe haven ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ได้เปรียบในช่วงเวลานี้” ณรงค์ศักดิ์ กล่าว
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้จึงแนะนำให้ "Stay Safe" หรือเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยเป็นหลัก โดยเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ เช่น ตราสารหนี้และทองคำ
สำหรับการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้นไทย ควรคัดเลือกเฉพาะบริษัทที่มีคุณภาพสูงจริงๆ ได้แก่ หุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ดี มีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง สามารถยืนหยัดท่ามกลางความผันผวนได้ดี ซึ่งบริษัทเหล่านี้จะเป็นกลุ่มที่สามารถผ่านพ้นวิกฤตการณ์เช่นนี้ไปได้ และมีโอกาสเติบโตในระยะยาวต่อไป
ด้าน นันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน SCBAM กล่าวเสริมว่า การขึ้นภาษีของทรัมป์ เป็นความเสี่ยงที่เรารู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าจะมีการประกาศในวันที่ 2 เมษายน 2568 ดังนั้น ตลาดหุ้นรับรู้มาก่อนหน้านั้น สะท้อนจากปริมาณการซื้อขายที่ลดลงมาต่อเนื่อง ซึ่งไม่ได้เกิดแค่เพียงตลาดหุ้นไทยเท่านั้น แต่ตัวเลข 36% นั้น สูงกว่าที่ตลาดคาด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม
ทั้งนี้ ยังต้องจับตาผลกระทบและวิเคราะห์ว่ากลุ่มอุตสาหกรรมไหนได้รับผลกระทบมากที่สุด เบื้องต้นประเมินว่าเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ เกษตร และอิเล็กทรอนิกส์
อย่างไรก็ดี คาดหวังว่ารัฐบาลไทยโดยกระทรวงพาณิชย์ ที่เตรียมตั้งทีมเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ จะทำให้การเจรจาต้องเกิดขึ้นโดยเร็ว หากล่าช้าจะกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม
นอกจากนี้ การขึ้นกำแพงภาษีกับประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค มีโอกาสกระทบทางอ้อมกับภาคการส่งออกไทย และอาจส่งผลต่อการจ้างงานและกำลังซื้อภายในประเทศ ดังนั้น ความไม่แน่นอนของภาษีสหรัฐฯ ทำให้ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม SCBAM แนะนำปรับพอร์ตการลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงหลังทรัมป์ประกาศขึ้นภาษี แนะนำให้ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยมากขึ้น เช่น หุ้น Defensive หุ้นที่มีความผันผวนต่ำ และหุ้นที่มีคุณภาพ หรือหุ้นปันผลสูง
โดยหุ้นในอุตสาหกรรมที่มีความน่าสนใจ ได้แก่ หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล หุ้นกลุ่มการเงิน รวมถึงหุ้นที่อิงกับการบริโภคในประเทศ เป็นต้น
นันท์มนัส กล่าวอีกว่า แนวโน้มตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะฟื้นตัวได้ดีกว่าครึ่งปีแรก จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการลดดอกเบี้ยจากธนาคารแห่งประเทศไทย โดยคาดว่าแบงก์ชาติมีโอกาสจะลดดอกเบี้ยถึง 2 ครั้ง รวมถึงแรงหนุนจากกองทุน Thai ESG และโครงการ Jimp+ ที่จะเข้ามามีบทบาทในช่วงครึ่งปีหลังด้วย
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ SCBAM คาดการณ์เป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) อยู่ที่ 1,360 จุด แต่หากผลกระทบหนัก อาจต้องปรับเป้าหมายใหม่ และในกรณีที่ตลาดเกิด Panic ดัชนีอาจลดลงถึง 1,000 จุด อย่างไรก็ตาม มองว่าเป็นโอกาสสำหรับการเข้าซื้อ โดยเฉพาะหากรัฐบาลมีมาตรการที่สามารถดึงเม็ดเงินเข้าตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้