บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น OR รายงานผลประกอบการต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ปี 2567 มีกําไรสุทธิ จํานวน 7,650 ล้านบาท ลดลง 3,444 ล้านบาทจากปี 2566 หรือ -31.0% คิดเป็นกําไรต่อหุ้น 0.64 บาท
โดยผลการดําเนินงานปี 2567 OR มีรายได้ขายและบริการ 723,958 ล้านบาท ลดลง 45,783 ล้านบาท (-5.9%) จากปี 2566 โดยสาเหตุหลักมาจากปริมาณจําหน่ายน้ํามันที่ลดลง และราคาน้ํามันในตลาดโลกเฉลี่ยปรับลดลงของกลุ่มธุรกิจ Mobility โดยรายได้ขายลดลง 7.4%
สวนทางกับกลุ่มธุรกิจ Lifestyle ที่เพิ่มขึ้น 8.2% ตามการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้นของทั้งธุรกิจค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่ม และธุรกิจค้าปลีกอื่น ๆ กลุ่มธุรกิจ Global ปรับเพิ่มขึ้น 10.9% ตามปริมาณจําหน่ายน้ํามันที่เพิ่มขึ้นในประเทศฟิลิปปินส์เป็นหลัก
ในปี 2567 มี EBITDA จํานวน 17,666 ล้านบาท ลดลง 3,540 ล้านบาท หรือ -16.7% เมื่อเทียบกับปี 2566 โดยลดลงจากกลุ่มธุรกิจ Mobility ที่ภาพรวมกําไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรที่อ่อนตัวลง อย่างไรก็ตาม กลุ่มธุรกิจ Lifestyle ยังแข็งแกร่งโดยปรับเพิ่มขึ้น จากธุรกิจค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่ม และกลุ่มธุรกิจ Global ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งมาปัจจัยหลักมาจากภาพรวมกําไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรที่ฟื้นตัวในประเทศฟิลิปปินส์
สําหรับค่าใช้จ่ายดําเนินงานสุทธิปกติลดลง 11.7% (ไม่รวมค่าใช้จ่ายพิเศษที่เกี่ยวข้องกับการยุติธุรกิจเท็กซัส ชิคเก้น ในไตรมาส 3/67) โดยหลักจากค่าโฆษณาและส่งเสริมการขาย
สําหรับส่วนแบ่งกําไรจากเงินลงทุน (Share of gain from investments) ภาพรวมลดลง เนื่องจากรายการปรับปรุงการอ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนในบริษัทร่วมทุนในประเทศเมียนมาเป็นหลัก
ในงวดนี้กําไรจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลง จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมากเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่เงินบาทอ่อนค่าลง และมีกําไรจากตราสารอนุพันธ์เพิ่มขึ้น
ส่วนผลการดําเนินงานไตรมาส 4/67 บริษัท ปตท. น้ํามันและการค้าปลีก จํากัด (มหาชน) และบริษัทย่อย มีรายได้งายและบริการ 185,904 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9,773 ล้านบาท (+5.5%) จากไตรมาสก่อนหน้า โดยไตรมาสนี้รายได้งายและบริการ ของกลุ่มธุรกิจ Mobillity เพิ่มขึ้น 5.9% กลุ่มธุรกิจ Lifestyle เพิ่มขึ้น 7.3% ตามปัจจัยฤดูกาล โดย Mobility เพิ่มจากปริมาณจําหน่าย กลุ่มน้ํามันดีเซล และน้ํามันอากาศยาน
ขณะที่ Lifestyle เพิ่มจากทั้งธุรกิจค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่ม และธุรกิจค้าปลีกอื่น ๆ กลุ่มธุรกิจ Global ปรับลดลง 4.6% ตามราคาน้ํามันในตลาดโลกที่ปรับลง รวมทั้งปริมาณจําหน่ายที่ลดลงในประเทศฟิลิปปินส์
ในไตรมาส 4/67 มี EBITDA จํานวน 4,887 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,124 ล้านบาท (+>100%) เมื่อเทียบกับ 30/67 โดยเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ กลุ่มธุรกิจ Mobility (+>100%) จากภาพรวมกําไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรที่ฟื้นตัว กลุ่มธุรกิจ Lifestyle (+35.7%) เพิ่มขึ้น โดยหลักจากธุรกิจค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มธุรกิจ Global (+15.6%) เพิ่มขึ้นตามภาพรวมกําไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรที่ฟื้นตัว ใน สปป.ลาว เป็นหลัก สําหรับค่าใช้จ่ายดําเนินงานสุทธิปกติเพิ่มขึ้นเล็กน้อย (ไม่รวมค่าใช้จ่ายพิเศษที่เกี่ยวข้องกับการยุติธุรกิจเท็กซัสชิคเก้น ในไตรมาส 3/67)
สําหรับส่วนแบ่งกําไรจากเงินลงทุน (Share of gain from investments) ภาพรวมเพิ่มขึ้น ในไตรมาสนี้มีผลกําไรจากอัตราแลกเปลี่ยน จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนที่มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน รวมทั้งมีการตั้งสํารอง ด้อยค่าเงินลงทุนในบริษัท เค-เน็กซ์ คอร์ปอเรชั่น จํากัด (KNEX) จํานวน 343 ล้านบาท ส่งผลให้ในไตรมาส 4/67 OR มีกําไรสุทธิ จํานวน 2,999 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 4,608 ล้านบาท (+>100%) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.25 บาท
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้