ทองพุ่ง-หุ้นดิ่ง รับแรงกระแทก! ผลจาก “ทรัมป์” เปิดเกมสงครามการค้า ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดา เม็กซิโก และจีน “ก้องเกียรติ” คาดปีนี้เผชิญความเสี่ยงครั้งใหญ่ สงครามการค้ากดดันตลาดเงินตลาดทุน ทำให้ลงทุนยากขึ้น แต่ “เผ่าภูมิ” เชื่อไทยรับมือได้แน่นอน
ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของภาวะตลาดหุ้นไทยและราคาทองคำวันที่ 3 ก.พ.68 หลังประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจาก 3 ประเทศ ได้แก่ แคนาดา เม็กซิโก และจีน ว่า ส่งผลให้เกิดความกังวลกับสงครามการค้าที่กำลังจะเกิดขึ้น กดดันให้ตลาดหุ้นทั่วโลก รวมทั้งไทยและเอเชียดิ่งลงอย่างหนัก สวนทางราคาทองคำที่ขยับขึ้นทำนิวไฮอีกครั้ง โดยราคาทองคำโลกขึ้นไปทำนิวไฮครั้งใหม่ ส่วนราคาทองคำไทย ที่สมาคมค้าทองคำประกาศครั้งที่ 6 (เวลา 15.57 น.) ขายออกบาทละ 44,950 บาท เพิ่มขึ้น 350 บาท ประกอบกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่าสนับสนุนให้ราคาทองในประเทศเพิ่มขึ้น โดยค่าเงินบาทอ่อนค่าแตะระดับ 34 บาท/เหรียญสหรัฐฯ
ด้านตลาดหุ้นไทยเปิดตลาดดิ่งลงกว่า 40 จุด ก่อนที่จะค่อยๆพยุงตัวขึ้นมา หลังมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นที่ราคาปรับตัวลงต่ำเกินพื้นฐานไปมาก โดยเฉพาะหุ้นที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันขยับขึ้น ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยมาปิดตลาดที่ระดับ 1,304.39 จุด ลดลง 10.11 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 54,272.58 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 362.91 ล้านบาท
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า ดัชนีหุ้นที่ปรับลง เนื่องจากนายทรัมป์ลงนามเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากทั้งแคนาดา เม็กซิโก เพิ่มอีก 25% และจีนเพิ่มอีก 10% ทำให้ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น ได้พัฒนาเป็นสงครามการค้าย่อมๆ จากการตอบโต้ของ 3 ประเทศ โดยแคนาดาเตรียมเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ 25% ส่วน เม็กซิโกเตรียมขึ้นเช่นกัน ขณะที่จีนเตรียมยื่นคำร้องต่อองค์การการค้าโลก (WTO) โดยอ้างการขึ้นภาษีครั้งนี้ขัดต่อ WTO ส่งผลกระทบทางอ้อมกดดันให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกสูงขึ้น
“มองการปรับตัวลงของดัชนีหุ้นไทยเดือนนี้ น่าจะได้รับ การประคองจากหุ้นกลุ่ม Oil & Gas ที่ได้ Sentiment เชิงบวกจากราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้น รวมถึงกลุ่ม Domestic play ที่คาดว่าจะเห็นการรีบาวด์ขึ้น หลังราคาลงไปแรงจากผู้นำกลุ่ม เช่น CPALL ช่วงปลายเดือนก่อน ยังไม่นับรวม Valuation ของดัชนีที่อยู่ต่ำเป็นทุนเดิม เชื่อว่ามีโอกาสที่หุ้นไทยจะปรับตัวแข็งแกร่งกว่าหุ้นต่างประเทศ”
ด้านนายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ กล่าวว่า ปีนี้จะเผชิญ กับความเสี่ยงครั้งใหญ่ที่เพิ่มขึ้น จากสงครามการค้ารอบใหม่ ทำให้เศรษฐกิจโลกเกิดความไม่แน่นอน ซึ่งล้วนสร้างแรงกดดันต่อตลาดเงินและตลาดทุนให้ผันผวนรุนแรงขึ้น “ปีนี้ การลงทุนไม่ว่าจะลงทุนในตลาดใด จะมีความยากขึ้น ทั้งในตลาดไทยและตลาดต่างประเทศ ส่วนเศรษฐกิจไทยปี 68 มีแนวโน้มขยายตัว 2.9% จากปี 67 ที่คาด 2.6% อัตรา เงินเฟ้อ คาด 1.1% โดยปัจจัยที่กังวล คือ ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน รวมถึงการส่งออกจากผลของสงครามการค้า และต้องจับตาการจูงใจให้เกิดการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ว่าจะทำได้จริงหรือไม่ แต่ไทยน่าจะได้ประโยชน์จากการที่จีนมีปัญหากับสหรัฐฯ”
ด้านนายสุพงศ์วร เมี้ยนโภคา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่า หุ้นไทยที่ร่วงแรงรอบนี้เป็นไปตามทิศทางหุ้นทั้งเอเชียที่ลงแรง ตอบรับข่าวขึ้นภาษีของนายทรัมป์ แต่จะเป็นเพียงระยะสั้น เพราะเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวดีกว่าปีที่แล้ว และราคาหุ้นไทยใกล้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว แนะรอจังหวะเข้าซื้อไตรมาส 1 หลังทุกอย่างคลี่คลายขึ้น
ขณะที่นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า นโยบายของนายทรัมป์จะสร้างความกังวลให้ธนาคารกลางทั่วโลก ทำให้ธนาคารกลางประเทศต่างๆ หันมาถือครองทองคำเพิ่มขึ้น เพื่อป้องกันความเสี่ยง “ประเมินว่าราคาทองคำปีนี้ยังมีโอกาสขึ้นได้อีก โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 3,000 เหรียญ/ออนซ์ ส่วนราคาทองไทยให้กรอบแนวต้านทองแท่งไว้ที่บาทละ 46,000-47,000 บาท แนะนำให้รอเข้าซื้อทองในจังหวะที่ราคาทองคำปรับฐาน”
ด้านบริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส ประเมินว่า สงครามการค้าจะหนุนราคาทองคำโลกให้เพิ่มขึ้นได้ต่อ มองแนวต้านที่จุดสูงสุดเดิมที่ 2,817 เหรียญ/ออนซ์ ส่วนทองไทยประเมินภายใต้เงินบาทที่ 34 บาท/เหรียญ จะมีแนวต้านที่บาทละ 45,100 บาท แนะนำให้ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว แตะระดับแนวรับ 2,770 หรือ 2,750 เหรียญ
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า การขึ้นภาษีครั้งนี้ทำให้เห็นว่า สงครามการค้าเริ่มรุนแรงขึ้น แต่คาดเดาได้ยากว่าจะรุนแรงเพียงใด เพราะการขึ้นภาษีจีน ยังไม่ถึงระดับที่นายทรัมป์หาเสียงไว้ที่ว่า จะเก็บ 65% และคาดว่า น่าจะตามมาด้วยสงครามเทคโนโลยีกับจีน “การขึ้นภาษีนำเข้าจาก 3 ประเทศ จะเป็นโอกาสของสินค้าไทยที่จะเข้าไปแทนที่ได้ แต่ไทยก็ต้องติดตามว่า จะถูกขึ้นภาษีนำเข้าหรือไม่ หรือขึ้นเท่าไร ส่วนการที่ไทยจะเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อต่อรองไม่ให้ขึ้นภาษีนำเข้าแลกกับการที่ไทยต้องซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ
เพิ่มขึ้นนั้น ต้องพิจารณาผลดี ผลเสียด้วย โดยเฉพาะผลกระทบที่จะเกิดกับเกษตรกรไทย หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องมีมาตรการ หรือกลไกเยียวยาด้วย”
ส่วนนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวว่า รัฐบาล โดยกระทรวงต่างๆ มีมาตรการเตรียมรับมือกับความไม่แน่นอนจากนโยบายทรัมป์ 2.0 แล้ว ซึ่งมองว่าอาจเป็นโอกาส ถ้าเราเตรียมตัวดี อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าปีนี้เราจะเผชิญกับความไม่แน่นอน แต่เชื่อว่าไทยจะรับมือได้.
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่