ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยเผชิญความท้าทายอย่างต่อเนื่อง และแม้ว่าราคาหุ้นโดยรวมจะอยู่ในระดับที่ “ถูก” แต่กลับขาดแรงซื้อและแรงขับเคลื่อนจากนักลงทุน สะท้อนถึงปัญหาความเชื่อมั่นที่ฝังรากลึกมาตลอดทศวรรษ ซึ่งต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ดังนั้น ภายใต้ภาวะที่ตลาดหุ้นซบเซา ทำให้หลายบริษัทหลักทรัพย์ต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด
ล่าสุด "เอเซีย พลัส" ระบุว่าทิศทางตลาดหุ้นไทยยังคงต้องจับตาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนเป็นหลัก หากออกมาดีก็อาจช่วยฟื้นความเชื่อมั่นในระยะถัดไป พร้อมเปิดแผนธุรกิจ ลุยขยาย “Wealth Management” เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในกลุ่ม High Net Worth ด้วยบริการที่ครบวงจร ซึ่งจะสามารถสร้างรายได้เติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาว
ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ชี้ให้เห็นว่า สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันที่ไม่ดีนัก มองว่าเป็นเพราะปัจจัยในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ที่ส่วนมากเป็นธุรกิจดั้งเดิมในอุตสาหกรรมเก่า (Old economy) ขณะที่เม็ดเงินลงทุนยังมาจากนักลงทุนยังเป็นกลุ่มเดิมๆ (Old Investor)
อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยที่ผ่านมาเติบโตได้ต่ำ ในขณะที่ปัจจุบันมีทางเลือกการลงทุนที่หลากหลาย ดังนั้น เมื่อนักลงทุนมีการลงทุนในตลาดหุ้นไทยแล้วขาดทุน จึงไม่มีความเชื่อมั่นที่จะลงทุนต่อไป
ปัญหาความเชื่อมั่นนี้ อยู่กับตลาดหุ้นไทยมาเป็น 10 ปี ซึ่งจะต้องแก้ไขจากภาคการศึกษาที่ล้าสมัย เพื่อสร้างคนที่มีความรู้ความสามารถ ประกอบกับดึงดูดและส่งเสริมบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมใหม่ๆ เข้ามา เช่น กลุ่มไอที เป็นต้น
สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยหลังจากนี้ จะต้องติดตามผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่จะประกาศออกมาเป็นหลัก โดยมองว่าหุ้นกลุ่มที่ยังสามารถทำกำไรได้ดี ได้แก่ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม พร้อมติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการส่งออก และเม็ดเงินลงทุนตรงจากต่างประเทศด้วย
“ผมมองว่าทุกอย่างคงแย่ตลอดไม่ได้ แต่หวังว่าผลประกอบการที่ประกาศมาจะมีอะไรดีขึ้นหรือเปล่า ทุกคนดูตรงนั้นเป็นหลัก…หุ้นก็คง stable สักพัก แล้วค่อยๆ pick up ขึ้นมา ถ้าผลประกอบการออกมาดีขึ้น” ดร.ก้องเกียรติ กล่าว
นอกจากนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2568 กำลังเผชิญความท้าทายจากการแข่งขันจากภายนอกที่รุนแรงขึ้น และความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าที่สูงขึ้นจากหลายปัจจัย ทั้งทิศทางนโยบายการค้าโลก ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์
อย่างไรก็ตามมองว่า รัฐบาลไทยพยายามเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการเพิ่มขึ้นของแรงสนับสนุนจากรายจ่ายภาครัฐ การขยายตัวของอุปสงค์ภาคเอกชน การท่องเที่ยวและบริโภคจ่อฟื้นตัวต่อเนื่อง และการส่งออกสินค้าที่ขยายตัว โดยประเมินเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวที่ 2.9%
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยไม่แพง แต่ขาดแรงขับเคลื่อน สะท้อนจากตลาดหุ้นไทยเปิดปี 2568 ถือว่าต่ำสุดในรอบ 9 ปี ขณะที่ราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (P/BV) ต่ำกว่า -1SD ซึ่งอยู่บริเวณเดียวกับช่วงวิกฤติอื่นๆ
ทั้งนี้ พบว่ามีหุ้นจำนวนกว่า 482 หุ้น จาก 705 หุ้นในตลาดที่มี P/BV ต่ำกว่า 1 เท่า โดยเฉพาะหุ้นใน SET100 มีจำนวนหุ้นต่ำบุ๊คเทียบเท่าช่วงโควิด หรือกว่า 40 บริษัท
อย่างไรก็ตาม ประเมินว่ากำไรต่อหุ้นปี 2568 จะเฉลี่ยอยู่ที่ 97 บาท/หุ้น แต่ Forward EPS ในอดีตมี Downside ราว 6-12 บาท/หุ้น หากอิงส่วนต่างผลตอบแทนของตลาดหุ้นเทียบกับพันธบัตร (MEYG) ที่ 3.8% และ P/E ที่ 16.54 เท่า จะได้เป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ 1521-1587 จุด ในกรณีที่ DELTA อยู่ที่เดิม (152.5 บาท)
ดร.ก้องเกียรติ กล่าวอีกว่า แนวโน้มการลงทุนในตลาดทั่วโลกปีนี้ จะเป็นปีที่เผชิญกับความเสี่ยงใหญ่ที่เพิ่มขึ้นมาจากเรื่องของสงครามการค้ารอบใหม่ อาจจะทำให้เกิดความเสี่ยงด้านอื่นๆ ตามมาได้
ท่ามกลางสถานการณ์โลกไม่แน่นอนในระยะข้างหน้า ล้วนสร้างแรงกดดันต่อตลาดเงินและตลาดทุนมีความผันผวนรุนแรงมาก ทำให้มองว่าปีนี้จะเป็นปีที่การลงทุนในตลาดไหนๆ ก็จะยากขึ้นไม่ว่าจะเป็นตลาดไทยตลาดต่างประเทศ
สำหรับอุตสาหกรรมธุรกิจหลักทรัพย์ อยู่ในภาวะวิกฤติช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยเชื่อว่าในภาพรวมยังไม่มีบริษัทใดสามารถทำกำไรได้โดยตรง ซึ่งบริษัทที่ยังทำกำไรได้ส่วนใหญ่ มักมาจากธุรกิจเสริม หรือให้บริการกู้ยืมเงินหรือหลักทรัพย์ (margin loan) มากกว่า ดังนั้น หากบริษัทใดไม่มีการปรับตัว ก็มีโอกาสนำไปสู่การขายกิจการหรือปิดกิจการได้
โดยธุรกิจหลักทรัพย์ ของ บล.เอเซีย พลัส มุ่งสู่เป้าหมายหลักขององค์กรในการ Transform To Wealth ด้วยการยึดหลักกลยุทธ์ที่ชัดเจนสร้างการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์และบริการจากการเป็นเพียง “นายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (Broker)” ได้ยกระดับขึ้นสู่การเป็น “ผู้ให้บริการบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management)”
ปัจจุบันมี Platform ที่มีมาตรฐาน เพื่อส่งเสริมการลงทุนที่ตอบโจทย์ตรงตามความต้องการของกลุ่มลูกค้า ซึ่งจะมีเครื่องมือใหม่ๆ พร้อมให้บริการอย่างครบถ้วน และได้ Omni-Channel ด้วยการผสมผสานคนและเทคโนโลยี เพื่อสร้างประสบการณ์การลงทุนที่ดีและเข้าถึงได้ง่าย สะดวก ปลอดภัยให้แก่ลูกค้าด้วย
นอกจากนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตของทั้งกลุ่มไว้ที่ระดับ 10% จากทั้งธุรกิจหลักทรัพย์ ที่มุ่งสู่ Wealth Management ธุรกิจด้านการลงทุนที่มุ่งเน้นการขยายการลงทุนของบริษัทเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่มีศักยภาพที่สุด ธุรกิจบริหารจัดการทรัพย์สิน ที่มุ่งเน้นพัฒนากองทุนเดิมให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและการออกผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ๆ และธุรกิจที่ปรึกษาที่เน้นให้บริการแก่กลุ่มลูกค้าธุรกิจ ซึ่งมีทั้งการระดมทุนรูปแบบ Private Placement, การทำ Merger & Acquisition และการปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อให้ลูกค้าประสบความสำเร็จตามเป้าหมายธุรกิจ
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/investment
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้
https://www.facebook.com/ThairathMoney