
ช่วงที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยซบเซาอย่างมาก หลังเผชิญความท้าทายจากทั้งปัจจัยเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุน ทำให้การปรากฏตัวของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในงาน “Dinner Talk Chat with Tony: Bull Rally of Thai Capital Market” โดย นสพ. ข่าวหุ้นธุรกิจ วานนี้ กลายเป็นประเด็นที่นักลงทุนให้ความสนใจอย่างมาก
โดยได้แสดงความคิดเห็นและมุมมอง เพื่อเปลี่ยนตลาดหุ้นไทย จาก “ตลาดหมี” เป็น “ตลาดกระทิง” ในครั้งนี้ “Thairath Money” สรุป 5 ประเด็นสำคัญมาให้แล้ว ดังนี้
ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มั่นใจว่าประเทศไทยยังมีอนาคตอีกเยอะ แต่ยังขาดการบริหารที่ถูกต้องเท่านั้นเอง ซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้ติดตามปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันตลาดหุ้นไทยประกอบด้วย 3 ปัจจัย ได้แก่ Trust, Confidence และ Sentiment ซึ่งตอนนี้ทั้งสามปัจจัยอยู่ในภาวะที่ไม่ค่อยดีนัก ดังนั้น ต้องเร่งฟื้นกลับคืนมาให้ได้
สำหรับปัญหาที่ได้รับทราบ จากทั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มองว่า ยังต้องพัฒนากันอย่างต่อเนื่อง จากปัจจุบันการปรับตัวของทั้ง ตลท. และ ก.ล.ต. ทำได้ค่อนข้างช้า ดังนั้น ต่อไปนี้ต้องมีการดำเนินการอย่างรวดเร็ว
ดร.ทักษิณ ได้กล่าวถึง 5 เรื่องที่ต้องแก้ไขและปรับปรุงให้ดีขึ้น ดังนี้
1.บรรษัทภิบาล (Corporate Governance หรือ CG) โดยเน้นความโปร่งใสของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องติดตามพฤติกรรมของทุกบริษัท ตรวจสุขภาพบริษัทเป็นประจำว่ามีการทำบัญชีและมีระบบบริหารที่ถูกต้อง และติดตามว่าไม่ได้มีการนำเงินไปใช้ผิดประเภท ซึ่งจะสามารถสร้างความน่าเชื่อถือของตลาดได้
2.ระบบการส่งคำสั่งซื้อขายที่มีความถี่สูง (High Frequency Trade) จากปัจจุบันโรบอทเทรดได้เข้ามาสู่ตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก โดยมองว่าไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายใดเลย เพราะเมื่อสิ้นวันมีการปิด Position แต่ที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ฯ ชอบ เพราะช่วยในเรื่องปริมาณการซื้อขาย (วอลลุ่ม) ประกอบกับมีการได้เปรียบเสียเปรียบกัน ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเรื่องของความเร็ว ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องเป็นผู้รักษากติกาที่ดี และมีหน้าที่ทำให้ไม่ให้เกิดการเอาเปรียบกัน
3.การดำเนินการที่ช้า (Slow Action) เมื่อมีการกระทำผิดเกิดขึ้น พบว่าที่ผ่านมามีการดำเนินการหรือออกมาอธิบายได้ค่อนข้างช้า ทำให้นักลงทุนต่างชาติขาดความเชื่อถือ ตั้งแต่เหตุการณ์หุ้น MORE ซึ่งทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทย โดยล่าสุด กระทรวงการคลัง เตรียมพร้อมที่จะเพิ่มอำนาจให้กับ ก.ล.ต. ให้ทัดเทียมสากลและสามารถจัดการได้ทันที โดยไม่ต้องรอหน่วยงานอื่น
4. บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจเก่า และที่เข้าไปใหม่ๆ ไม่ค่อยมีบริษัทขนาดใหญ่ โดยรัฐบาลจะต้องร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในการเชิญชวนบริษัทต่างชาติ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยให้มากขึ้น ขณะเดียวกัน ต้องมีการจูงใจให้ลงทุนใน Entertainment Complex ซึ่งโครงการดังกล่าว ใช้งบลงทุนราว 5 แสนล้านบาท พร้อมสนับสนุนให้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วย ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มบริษัทจดทะเบียนให้มากขึ้น
5. หุ้นหลายตัวมี P/BV และ P/E ต่ำ โดยมีแนวคิดสนับสนุนโครงการซื้อหุ้นคืน หรือ Treasury Stock ของบริษัทจดทะเบียน และให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนดให้บริษัทต่างๆ ต้องแผนว่าจะทำอย่างไร ให้ราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชีใกล้เคียงกัน เพราะปัจจุบันหุ้นหลายตัวราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี
ดร.ทักษิณ กล่าวว่า เราอยู่ในโลกทุนนิยม ดังนั้น ต้องอย่าให้มีการเอาเปรียบกัน และถือเอาประโยชน์จากตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยไม่มีจริยธรรม ถ้าสามารถคุมเกม ทำกติกาให้ชัดเจนและเปิดเผย ความมั่นใจก็จะเกิดขึ้น รัฐบาลก็มีหน้าที่ทำเศรษฐกิจให้เติบโต โดยเชื่อว่าครึ่งปีหลังงานของรัฐบาลจะเริ่มเห็น และมีแสงสว่างปลายอุโมงค์ และปี 2569 จะเป็นปีที่ได้เก็บเกี่ยวผลของการพัฒนาที่ประเทศฟื้นตัวขึ้นมา
พร้อมให้ความเชื่อมั่นว่า จะใช้ประสบการณ์และความสามารถที่มี ช่วยประเทศเต็มที่ ปี 2568 เชื่อว่าเศรษฐกิจจะเติบโตได้ 3% กว่าแน่นอน และปี 2569 จะทำให้ได้ 4% ส่วนปี 2570 จะทำให้ได้ขั้นต่ำ 5%
สำหรับนโยบายที่จะกระตุ้นให้ตลาดทุนฟื้นอย่างก้าวกระโดด มองว่าต้องอัดฉีดเม็ดเงิน ซึ่งเชื่อว่ากระทรวงการคลังมีการศึกษาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าวันนี้การบริหารยากกว่าต้มยำกุ้ง เพราะฐานราก หรือประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะ SME พังหมดด้วยหลายเหตุ ตั้งแต่โควิด-19 และกำลังซื้อที่หดไป รวมถึงการแข่งขันจีนที่ขาดการดูแลการแข่งขันไม่เป็นธรรม ดังนั้น วันนี้ต้องฟื้นโดยใช้เรื่องใหม่ๆ
ส่วนมาตรการสร้างความเชื่อมั่นตลาดทุน มองว่ารัฐบาลมีหน้าที่สร้างความมั่นใจทางเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวได้ และตลาดหลักทรัพย์ต้องสร้างความโปร่งใส ทั้งกติกาและบริษัทจดทะเบียนให้นักลงทุนเชื่อถือได้ และต้องหามาตรการใหม่ๆ ที่จูงใจเงินลงทุนในตลาดหุ้นมากกว่าพันธบัตร
นอกจากนี้ ดร.ทักษิณ กล่าวอีกว่า ปัจจุบัน รมว.คลัง กำลังทำกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ซึ่งกองทุนเหล่านี้ จะทำให้มีสภาพคล่องเข้ามาในตลาดมากขึ้น
ขณะเดียวกัน ปัจจุบันกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ก็มีการลงทุนในต่างประเทศ ดังนั้น จะต้องพยายามให้มาดูโอกาสที่เมืองไทย แน่นอนคนบริหารกองทุนไม่อยากขาดทุน แต่สินค้าในตลาดต้องมีความจูงใจด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ ยังส่งสัญญาณถึงการฟื้นกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) หลังจากที่รัฐบาลก่อนหน้านี้ยกเลิกไป โดยต้องดูว่าจะมีการดำเนินการแก้ไขปรับปรุงรูปแบบเงื่อนไขอย่างไรให้น่าสนใจมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่ากองทุนดังกล่าว จะเป็นอีกหนึ่งกองทุนที่ช่วยขับเคลื่อนเม็ดเงินในตลาดหุ้นไทย
ดร.ทักษิณ ชี้ให้เห็นว่า โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังจะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งประกาศแล้วว่าจะเปิดทางให้สามารถชำระหนี้ด้วย Bitcoin และจะสนับสนุน Cryptocurrency จะเห็นได้ว่าเรื่องสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้น อยากเห็น ก.ล.ต. ปรับตัวสู่ดิจิทัลมากขึ้น และต้องเตรียมเปิดทางให้กับสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อรับกับเทรนด์โลกที่กำลังจะเกิดขึ้น เช่น การอนุญาตให้ซื้อขาย Stable coin
นอกจากนี้ รัฐบาลกำลังเตรียมทำ Sandbox อาจเริ่มที่ภูเก็ต เพื่อเปิดรับชำระด้วย Bitcoin โดยเป็นการจัดการโดยรัฐบาล ทำให้ผู้ที่รับชำระไม่มีความเสี่ยง ถือเป็นอีกหนึ่งสกุลเงินที่อยู่ในเทรนด์โลก อย่างไรก็ดี จะเห็นได้ว่าคนที่มี Bitcoin คือคนที่สามารถทำกำไร และมีแนวโน้มในการใช้เงินมากขึ้น
ขณะเดียวกัน มีแนวคิดในการนำพันธบัตรรัฐบาลเข้ามาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น โดยทำให้สามารถขายได้ตั้งแต่ล็อตเล็กๆ มีระยะเวลาที่สั้น ซึ่งได้มีการหารือกับนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง แล้ว จากทุกวันนี้จะเห็นได้ว่า นักลงทุนสถาบันมีการเก็บพันธบัตรรัฐบาลเอาไว้ ซึ่งไม่ได้ช่วยอะไรต่อระบบเศรษฐกิจเลย
อีกเรื่องหนึ่งที่ ก.ล.ต. กำลังจะทำคือเปิดให้มีการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ปัจจุบันประเทศไทยซื้อขายที่ราว 7 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน แต่ที่สิงคโปร์ อยู่ที่ 14 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน ส่วนยุโรปที่ 15 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน หากสามารถเปิดเป็นศูนย์เทรดซื้อขายคาร์บอนเครดิต คนไทยจะได้ราคาดีขึ้น และจะได้ประโยชน์จากการส่งออกด้วย โดยหวังว่าจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/investment
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้
https://www.facebook.com/ThairathMoney