สรุป 5 ประเด็น “ทักษิณ ชินวัตร” ฝากการบ้าน แก้ปัญหา ตลาดหุ้นไทยซบเซา ส่งสัญญาณฟื้น LTF

Investment

Capital Market

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

สรุป 5 ประเด็น “ทักษิณ ชินวัตร” ฝากการบ้าน แก้ปัญหา ตลาดหุ้นไทยซบเซา ส่งสัญญาณฟื้น LTF

Date Time: 14 ม.ค. 2568 08:38 น.

Video

อย่ากลัว! วิกฤติใหญ่ยังไม่เกิด หาโอกาสลงทุน กับ กวี ชูกิจเกษม | Thairath Money Night Stand EP.21

Summary

สรุปประเด็น ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในงาน “Dinner Talk Chat with Tony: Bull Rally of Thai Capital Market” โดย นสพ. ข่าวหุ้นธุรกิจ โดยได้แสดงความคิดเห็นและมุมมอง เพื่อเปลี่ยนตลาดหุ้นไทย จาก “ตลาดหมี” เป็น “ตลาดกระทิง”

Latest


ช่วงที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยซบเซาอย่างมาก หลังเผชิญความท้าทายจากทั้งปัจจัยเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุน ทำให้การปรากฏตัวของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในงาน “Dinner Talk Chat with Tony: Bull Rally of Thai Capital Market” โดย นสพ. ข่าวหุ้นธุรกิจ วานนี้ กลายเป็นประเด็นที่นักลงทุนให้ความสนใจอย่างมาก

โดยได้แสดงความคิดเห็นและมุมมอง เพื่อเปลี่ยนตลาดหุ้นไทย จาก “ตลาดหมี” เป็น “ตลาดกระทิง” ในครั้งนี้ “Thairath Money” สรุป 5 ประเด็นสำคัญมาให้แล้ว ดังนี้

ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มั่นใจว่าประเทศไทยยังมีอนาคตอีกเยอะ แต่ยังขาดการบริหารที่ถูกต้องเท่านั้นเอง ซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้ติดตามปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันตลาดหุ้นไทยประกอบด้วย 3 ปัจจัย ได้แก่ Trust, Confidence และ Sentiment ซึ่งตอนนี้ทั้งสามปัจจัยอยู่ในภาวะที่ไม่ค่อยดีนัก ดังนั้น ต้องเร่งฟื้นกลับคืนมาให้ได้

สำหรับปัญหาที่ได้รับทราบ จากทั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มองว่า ยังต้องพัฒนากันอย่างต่อเนื่อง จากปัจจุบันการปรับตัวของทั้ง ตลท. และ ก.ล.ต. ทำได้ค่อนข้างช้า ดังนั้น ต่อไปนี้ต้องมีการดำเนินการอย่างรวดเร็ว

ฝากการบ้าน 5 เรื่อง ตลาดหุ้นไทย “ต้องแก้ไข”

ดร.ทักษิณ ได้กล่าวถึง 5 เรื่องที่ต้องแก้ไขและปรับปรุงให้ดีขึ้น ดังนี้

1.บรรษัทภิบาล (Corporate Governance หรือ CG) โดยเน้นความโปร่งใสของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องติดตามพฤติกรรมของทุกบริษัท ตรวจสุขภาพบริษัทเป็นประจำว่ามีการทำบัญชีและมีระบบบริหารที่ถูกต้อง และติดตามว่าไม่ได้มีการนำเงินไปใช้ผิดประเภท ซึ่งจะสามารถสร้างความน่าเชื่อถือของตลาดได้

2.ระบบการส่งคำสั่งซื้อขายที่มีความถี่สูง (High Frequency Trade) จากปัจจุบันโรบอทเทรดได้เข้ามาสู่ตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก โดยมองว่าไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายใดเลย เพราะเมื่อสิ้นวันมีการปิด Position แต่ที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ฯ ชอบ เพราะช่วยในเรื่องปริมาณการซื้อขาย (วอลลุ่ม) ประกอบกับมีการได้เปรียบเสียเปรียบกัน ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเรื่องของความเร็ว ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องเป็นผู้รักษากติกาที่ดี และมีหน้าที่ทำให้ไม่ให้เกิดการเอาเปรียบกัน

3.การดำเนินการที่ช้า (Slow Action) เมื่อมีการกระทำผิดเกิดขึ้น พบว่าที่ผ่านมามีการดำเนินการหรือออกมาอธิบายได้ค่อนข้างช้า ทำให้นักลงทุนต่างชาติขาดความเชื่อถือ ตั้งแต่เหตุการณ์หุ้น MORE ซึ่งทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทย โดยล่าสุด กระทรวงการคลัง เตรียมพร้อมที่จะเพิ่มอำนาจให้กับ ก.ล.ต. ให้ทัดเทียมสากลและสามารถจัดการได้ทันที โดยไม่ต้องรอหน่วยงานอื่น

4. บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจเก่า และที่เข้าไปใหม่ๆ ไม่ค่อยมีบริษัทขนาดใหญ่ โดยรัฐบาลจะต้องร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในการเชิญชวนบริษัทต่างชาติ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยให้มากขึ้น ขณะเดียวกัน ต้องมีการจูงใจให้ลงทุนใน Entertainment Complex ซึ่งโครงการดังกล่าว ใช้งบลงทุนราว 5 แสนล้านบาท พร้อมสนับสนุนให้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วย ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มบริษัทจดทะเบียนให้มากขึ้น

5. หุ้นหลายตัวมี P/BV และ P/E ต่ำ โดยมีแนวคิดสนับสนุนโครงการซื้อหุ้นคืน หรือ Treasury Stock ของบริษัทจดทะเบียน และให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนดให้บริษัทต่างๆ ต้องแผนว่าจะทำอย่างไร ให้ราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชีใกล้เคียงกัน เพราะปัจจุบันหุ้นหลายตัวราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี

เปิดแนวทางพลิกฟื้นตลาดหุ้นไทย ชี้ต้อง “โปร่งใส” ส่งสัญญาณฟื้น LTF

ดร.ทักษิณ กล่าวว่า เราอยู่ในโลกทุนนิยม ดังนั้น ต้องอย่าให้มีการเอาเปรียบกัน และถือเอาประโยชน์จากตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยไม่มีจริยธรรม ถ้าสามารถคุมเกม ทำกติกาให้ชัดเจนและเปิดเผย ความมั่นใจก็จะเกิดขึ้น รัฐบาลก็มีหน้าที่ทำเศรษฐกิจให้เติบโต โดยเชื่อว่าครึ่งปีหลังงานของรัฐบาลจะเริ่มเห็น และมีแสงสว่างปลายอุโมงค์ และปี 2569 จะเป็นปีที่ได้เก็บเกี่ยวผลของการพัฒนาที่ประเทศฟื้นตัวขึ้นมา

พร้อมให้ความเชื่อมั่นว่า จะใช้ประสบการณ์และความสามารถที่มี ช่วยประเทศเต็มที่ ปี 2568 เชื่อว่าเศรษฐกิจจะเติบโตได้ 3% กว่าแน่นอน และปี 2569 จะทำให้ได้ 4% ส่วนปี 2570 จะทำให้ได้ขั้นต่ำ 5%

สำหรับนโยบายที่จะกระตุ้นให้ตลาดทุนฟื้นอย่างก้าวกระโดด มองว่าต้องอัดฉีดเม็ดเงิน ซึ่งเชื่อว่ากระทรวงการคลังมีการศึกษาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าวันนี้การบริหารยากกว่าต้มยำกุ้ง เพราะฐานราก หรือประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะ SME พังหมดด้วยหลายเหตุ ตั้งแต่โควิด-19 และกำลังซื้อที่หดไป รวมถึงการแข่งขันจีนที่ขาดการดูแลการแข่งขันไม่เป็นธรรม ดังนั้น วันนี้ต้องฟื้นโดยใช้เรื่องใหม่ๆ

ส่วนมาตรการสร้างความเชื่อมั่นตลาดทุน มองว่ารัฐบาลมีหน้าที่สร้างความมั่นใจทางเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวได้ และตลาดหลักทรัพย์ต้องสร้างความโปร่งใส ทั้งกติกาและบริษัทจดทะเบียนให้นักลงทุนเชื่อถือได้ และต้องหามาตรการใหม่ๆ ที่จูงใจเงินลงทุนในตลาดหุ้นมากกว่าพันธบัตร

นอกจากนี้ ดร.ทักษิณ กล่าวอีกว่า ปัจจุบัน รมว.คลัง กำลังทำกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ซึ่งกองทุนเหล่านี้ จะทำให้มีสภาพคล่องเข้ามาในตลาดมากขึ้น

ขณะเดียวกัน ปัจจุบันกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ก็มีการลงทุนในต่างประเทศ ดังนั้น จะต้องพยายามให้มาดูโอกาสที่เมืองไทย แน่นอนคนบริหารกองทุนไม่อยากขาดทุน แต่สินค้าในตลาดต้องมีความจูงใจด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ ยังส่งสัญญาณถึงการฟื้นกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) หลังจากที่รัฐบาลก่อนหน้านี้ยกเลิกไป โดยต้องดูว่าจะมีการดำเนินการแก้ไขปรับปรุงรูปแบบเงื่อนไขอย่างไรให้น่าสนใจมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่ากองทุนดังกล่าว จะเป็นอีกหนึ่งกองทุนที่ช่วยขับเคลื่อนเม็ดเงินในตลาดหุ้นไทย

หนุน ก.ล.ต. เปิดทางสินทรัพย์ดิจิทัล รับเทรนด์โลก

ดร.ทักษิณ ชี้ให้เห็นว่า โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังจะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งประกาศแล้วว่าจะเปิดทางให้สามารถชำระหนี้ด้วย Bitcoin และจะสนับสนุน Cryptocurrency จะเห็นได้ว่าเรื่องสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ดังนั้น อยากเห็น ก.ล.ต. ปรับตัวสู่ดิจิทัลมากขึ้น และต้องเตรียมเปิดทางให้กับสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อรับกับเทรนด์โลกที่กำลังจะเกิดขึ้น เช่น การอนุญาตให้ซื้อขาย Stable coin

นอกจากนี้ รัฐบาลกำลังเตรียมทำ Sandbox อาจเริ่มที่ภูเก็ต เพื่อเปิดรับชำระด้วย Bitcoin โดยเป็นการจัดการโดยรัฐบาล ทำให้ผู้ที่รับชำระไม่มีความเสี่ยง ถือเป็นอีกหนึ่งสกุลเงินที่อยู่ในเทรนด์โลก อย่างไรก็ดี จะเห็นได้ว่าคนที่มี Bitcoin คือคนที่สามารถทำกำไร และมีแนวโน้มในการใช้เงินมากขึ้น

ขณะเดียวกัน มีแนวคิดในการนำพันธบัตรรัฐบาลเข้ามาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น โดยทำให้สามารถขายได้ตั้งแต่ล็อตเล็กๆ มีระยะเวลาที่สั้น ซึ่งได้มีการหารือกับนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง แล้ว จากทุกวันนี้จะเห็นได้ว่า นักลงทุนสถาบันมีการเก็บพันธบัตรรัฐบาลเอาไว้ ซึ่งไม่ได้ช่วยอะไรต่อระบบเศรษฐกิจเลย

อีกเรื่องหนึ่งที่ ก.ล.ต. กำลังจะทำคือเปิดให้มีการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ปัจจุบันประเทศไทยซื้อขายที่ราว 7 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน แต่ที่สิงคโปร์ อยู่ที่ 14 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน ส่วนยุโรปที่ 15 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน หากสามารถเปิดเป็นศูนย์เทรดซื้อขายคาร์บอนเครดิต คนไทยจะได้ราคาดีขึ้น และจะได้ประโยชน์จากการส่งออกด้วย โดยหวังว่าจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้

อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/investment
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้
https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ