
ในสภาวะเศรษฐกิจที่มีความท้าทาย “ตลาดพรีเมียมแมส” ของสินค้าอุปโภคกลับมีการเติบโตอย่างน่าสนใจ โดยพบว่าผู้บริโภคบางกลุ่มยอมจ่ายเงินมากขึ้น เพื่อสินค้าที่มีคุณภาพสูง สะท้อนถึงเทรนด์การให้ความสำคัญต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (Wellness) ซึ่งเป็นที่นิยมในปัจจุบัน
ล่าสุด บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น NEO เจ้าของ 8 แบรนด์สินค้าอุปโภค เปิดแผนขยายไปสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีศักยภาพ ด้วยการนำเสนอสินค้าใหม่ที่มีนวัตกรรมลุยตลาดพรีเมียมแมส พร้อมตั้งเป้าขยายตลาดไปสู่ 28 ประเทศ
ปัทมา ถกลศรี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการพาณิชย์ บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น NEO เปิดเผยว่า บริษัทมุ่งเน้นการใช้นวัตกรรม เพื่อนำเสนอ ผลิตภัณฑ์ใหม่และการปรับปรุงผลิตภัณฑ์เดิมให้ดีขึ้น และมุ่งขยายสินค้าในพอร์ตโฟลิโอกลุ่มระดับแมส ไปสู่ระดับพรีเมียมแมสอย่างต่อเนื่อง
โดยบริษัทเห็นโอกาสในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองมากขึ้น ซึ่งผู้บริโภคมีแนวโน้มเลือกสินค้าที่มีคุณสมบัติพิเศษมากขึ้น และยินดีจ่ายในราคาสูงขึ้น บริษัทได้ดำเนินกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์ ผ่านการนำนวัตกรรมมาใช้ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคในหลากหลายมิติ
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าภายใน 3 ปี (2567-2569) ที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้ของผลิตภัณฑ์พรีเมียมแมส (Premium Mass) เป็น 10% ของพอร์ตโฟลิโอ เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภค ในตลาดที่มีความต้องการสินค้าคุณภาพสูง และตอบโจทย์ผู้บริโภคอย่างครอบคลุม โดยเน้นการขยายไปยัง segment ใหม่ที่มีศักยภาพสูง เช่น ตลาดผู้สูงวัย
นอกจากนี้ บริษัทมุ่งขยายตลาดต่างประเทศด้วยสินค้าอุปโภค 8 แบรนด์ จาก 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ทั้งจากการขยายไปยังตลาดเดิมด้วยสินค้าใหม่ และขยายเข้าสู่ตลาดประเทศใหม่ที่มีศักยภาพ โดยเน้นการขยายพื้นที่การขายในประเทศให้ครอบคลุมมากขึ้น
โดยตั้งเป้าขยายฐานประเทศใหม่เป็นมากกว่า 28 ประเทศในปี 2571 จากปัจจุบัน 16 ประเทศ พร้อมตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเป็นมากกว่า 15% จากเดิม 10% โดยสนใจขยายตลาดไปยังประเทศแถบเอเชียใต้ เอเชียตะวันออก และตะวันออกกลาง เพิ่มเติม
สำหรับการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศในช่วง 5 ปีข้างหน้า บริษัทวางแผนขยายกำลังการผลิต และเพิ่มเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทั้งใน 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วย กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล และกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ มีกำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 400,000 ตันต่อปี จากปัจจุบันประมาณ 230,000 ตันต่อปี
นอกจากนี้ ภายในโรงงานยังมุ่งเน้น ESG ทั้งวัตถุดิบที่ใช้ในกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การใช้บรรจุภัณฑ์จากวัสดุรีไซเคิลหรือวัสดุธรรมชาติ โดยวางเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 20% ภายในปี 2573
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้