จับตาหุ้นไทยไม่พ้น 1,400 จุด ต่างชาติขนเงินออก Uptick ช่วยเรียกความเชื่อมั่น

Investment

Capital Market

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

จับตาหุ้นไทยไม่พ้น 1,400 จุด ต่างชาติขนเงินออก Uptick ช่วยเรียกความเชื่อมั่น

Date Time: 2 พ.ค. 2567 16:56 น.

Video

“ยาดมพันล้าน” เซียงเพียว - เป๊ปเปอร์มิ้นท์ ฟิลด์ | Brand Story Exclusive EP.7

Summary

  • ทรีนีตี้ คาดตลาดหุ้นเดือนพฤษภาคมทรงตัว จับตาเงินบาทอ่อนค่าต่อ จากการขนเงินปันผลออกของนักลงทุนต่างชาติ หวังมาตรการ Uptick Rule เรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน ให้กรอบดัชนี 1,340-1,400 จุด

ภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงเมษายนที่ผ่านมา ค่อนข้างซบเซา สะท้อนจากปริมาณซื้อขายต่อวันที่ยังทรงตัวในระดับต่ำ จากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ที่ยังสร้างแรงกดดันต่อเนื่อง นักลงทุนต่างคาดหวังว่าในระยะถัดไป ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะสามารถฟื้นตัวได้ หลังสถานการณ์ต่างๆ เริ่มคลี่คลาย พร้อมกันนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้มีการยกระดับมาตรการกำกับดูแลใหม่ เพื่อหวังเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนให้กลับมาด้วย


ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ประเมินตลาดหุ้นเดือนพฤษภาคมทรงตัว จับตาเงินบาทที่อาจทรงตัวอ่อนค่า จากการขนเงินปันผลออกของนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงการเข้าสู่ Low season ของการท่องเที่ยวและราคาน้ำมันดิบที่อยู่สูง จะส่งผลกดดันต่อดุลบัญชีเดินสะพัดได้


อย่างไรก็ดี คาดหวังมาตรการ Uptick Rule เรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนในช่วงปลายไตรมาส ให้กรอบดัชนี 1,340-1,400 จุด แนะลงทุนหุ้นส่งออกที่ได้ประโยชน์จากบาทอ่อนค่า หุ้นแบงก์รายตัว และหุ้นที่คาดถูกนำเข้าดัชนี SET50


ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยเดือนพฤษภาคม 2567 คาดว่าดัชนีน่าจะทรงตัว โดยปัจจัยที่อาจเข้ามาเป็นตัวกระตุ้นได้บ้าง คือการประกาศใช้มาตรการ Uptick Rule ในการทำชอร์ตเซล ของตลาดหลักทรัพย์ฯ (ตลท.) ซึ่งหากเกิดขึ้นได้เร็ว น่าจะเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนขึ้นมาได้บ้าง                                            


อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่จำกัด Upside ของดัชนีในเดือนนี้ยังคงมองไปยังพื้นฐานกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ขนาดใหญ่ที่ยังคงอ่อนแอ รวมถึงค่าเงินบาทที่ยังคงอ่อนแอกว่าภูมิภาคด้วยเช่นกัน โดยอาจต้องระวังปัจจัยทางด้าน Fund flow ที่เข้าสู่ช่วง Low season จากการขนย้ายเงินปันผลออกนอกประเทศของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งอาจส่งผลกดดันต่อค่าเงินบาทและภาพดัชนีโดยรวมได้


สำหรับปัจจัยกดดันค่าเงินบาทอื่นได้แก่ การเข้าสู่ช่วง Low season ของภาคการท่องเที่ยวไทย ซึ่งจะส่งผลต่อความอ่อนแอของดุลบริการ และต้นทุนการนำเข้าของไทยที่สูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ ซึ่งจะส่งผลกดดันต่อดุลการค้าได้                                                                                                                                             


ส่วนปัจจัยต่างประเทศคงต้องติดตามความเสี่ยงรัฐภูมิศาสตร์ระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล ที่มีโอกาสสร้าง Noise รบกวนให้กับตลาดทุนทั่วโลกได้ทุกเมื่อ และการออกมาแสดงความเห็นของกรรมการธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ท่านต่างๆ หลังจากผ่านพ้นการประชุมคณะกรรมการ FOMC ในช่วงต้นเดือน                                                                                     


ณัฐชาต ยังกล่าวว่า ล่าสุด ทรีนีตี้ได้ปรับสมมติฐานการลดดอกเบี้ยของกนง.ปีนี้ลงอย่างเป็นทางการจาก 2 ครั้งหรือ 0.5% ลงมาเหลือ 1 ครั้งหรือ 0.25% ทำให้มีการปรับเปลี่ยนสมมติฐาน Forward PE ของ SET ในกรณีดีสุด/กรณีฐาน/กรณีแย่สุด มาอยู่ที่ 13.8 เท่า 12.8 เท่า และ 11.9 เท่า และทำให้ได้ระดับดัชนี SET ที่เหมาะสมใหม่ในแต่ละกรณีมาอยู่ที่ 1,480 จุด 1,370 จุด และ 1,270 จุด ตามลำดับ


ด้วยเหตุนี้ จึงคาดการณ์ SET Index เดือนนี้แกว่งตัวในกรอบ 1,340-1,400 จุด (มีจุดศูนย์กลางที่ระดับ 1,370 จุด ซึ่งเป็นระดับยุติธรรมใหม่) โดยหลังจากที่แนะนำให้เข้าซื้อหุ้นรอบล่าสุดไปที่บริเวณดัชนี 1,370 จุด แนะนำนักลงทุนใช้กลยุทธ์ Wait & See ไปก่อน โดยกำหนดกลยุทธ์ด้านเทคนิคแนวรับถัดไปที่ระดับ 1,340-1,350 จุด  


มองกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจประจำเดือนนี้ ได้แก่ 1.กลุ่มส่งออกที่ได้ประโยชน์จากการอ่อนค่าของเงินบาท ได้แก่ COCOCO, PLUS, MALEE, AAI, ITC, STGT 2.กลุ่มธนาคารที่แนวโน้มความอ่อนแอของ NIM ได้ถูกสะท้อนเข้าไปอยู่ในสมมติฐานของนักวิเคราะห์ รวมถึงราคาหุ้นในปัจจุบันไปมากแล้ว เลือก BBL, KTB, TTB และ 3.กลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะถูกนำเข้าสู่ดัชนี SET50 ในรอบถัดไปได้แก่ BJC, TIDLOR, BCP, ITC


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ