ภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงเมษายนที่ผ่านมา ค่อนข้างซบเซา สะท้อนจากปริมาณซื้อขายต่อวันที่ยังทรงตัวในระดับต่ำ จากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ที่ยังสร้างแรงกดดันต่อเนื่อง นักลงทุนต่างคาดหวังว่าในระยะถัดไป ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะสามารถฟื้นตัวได้ หลังสถานการณ์ต่างๆ เริ่มคลี่คลาย พร้อมกันนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้มีการยกระดับมาตรการกำกับดูแลใหม่ เพื่อหวังเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนให้กลับมาด้วย
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ประเมินตลาดหุ้นเดือนพฤษภาคมทรงตัว จับตาเงินบาทที่อาจทรงตัวอ่อนค่า จากการขนเงินปันผลออกของนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงการเข้าสู่ Low season ของการท่องเที่ยวและราคาน้ำมันดิบที่อยู่สูง จะส่งผลกดดันต่อดุลบัญชีเดินสะพัดได้
อย่างไรก็ดี คาดหวังมาตรการ Uptick Rule เรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนในช่วงปลายไตรมาส ให้กรอบดัชนี 1,340-1,400 จุด แนะลงทุนหุ้นส่งออกที่ได้ประโยชน์จากบาทอ่อนค่า หุ้นแบงก์รายตัว และหุ้นที่คาดถูกนำเข้าดัชนี SET50
ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยเดือนพฤษภาคม 2567 คาดว่าดัชนีน่าจะทรงตัว โดยปัจจัยที่อาจเข้ามาเป็นตัวกระตุ้นได้บ้าง คือการประกาศใช้มาตรการ Uptick Rule ในการทำชอร์ตเซล ของตลาดหลักทรัพย์ฯ (ตลท.) ซึ่งหากเกิดขึ้นได้เร็ว น่าจะเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนขึ้นมาได้บ้าง
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่จำกัด Upside ของดัชนีในเดือนนี้ยังคงมองไปยังพื้นฐานกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ขนาดใหญ่ที่ยังคงอ่อนแอ รวมถึงค่าเงินบาทที่ยังคงอ่อนแอกว่าภูมิภาคด้วยเช่นกัน โดยอาจต้องระวังปัจจัยทางด้าน Fund flow ที่เข้าสู่ช่วง Low season จากการขนย้ายเงินปันผลออกนอกประเทศของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งอาจส่งผลกดดันต่อค่าเงินบาทและภาพดัชนีโดยรวมได้
สำหรับปัจจัยกดดันค่าเงินบาทอื่นได้แก่ การเข้าสู่ช่วง Low season ของภาคการท่องเที่ยวไทย ซึ่งจะส่งผลต่อความอ่อนแอของดุลบริการ และต้นทุนการนำเข้าของไทยที่สูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ ซึ่งจะส่งผลกดดันต่อดุลการค้าได้
ส่วนปัจจัยต่างประเทศคงต้องติดตามความเสี่ยงรัฐภูมิศาสตร์ระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล ที่มีโอกาสสร้าง Noise รบกวนให้กับตลาดทุนทั่วโลกได้ทุกเมื่อ และการออกมาแสดงความเห็นของกรรมการธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ท่านต่างๆ หลังจากผ่านพ้นการประชุมคณะกรรมการ FOMC ในช่วงต้นเดือน
ณัฐชาต ยังกล่าวว่า ล่าสุด ทรีนีตี้ได้ปรับสมมติฐานการลดดอกเบี้ยของกนง.ปีนี้ลงอย่างเป็นทางการจาก 2 ครั้งหรือ 0.5% ลงมาเหลือ 1 ครั้งหรือ 0.25% ทำให้มีการปรับเปลี่ยนสมมติฐาน Forward PE ของ SET ในกรณีดีสุด/กรณีฐาน/กรณีแย่สุด มาอยู่ที่ 13.8 เท่า 12.8 เท่า และ 11.9 เท่า และทำให้ได้ระดับดัชนี SET ที่เหมาะสมใหม่ในแต่ละกรณีมาอยู่ที่ 1,480 จุด 1,370 จุด และ 1,270 จุด ตามลำดับ
ด้วยเหตุนี้ จึงคาดการณ์ SET Index เดือนนี้แกว่งตัวในกรอบ 1,340-1,400 จุด (มีจุดศูนย์กลางที่ระดับ 1,370 จุด ซึ่งเป็นระดับยุติธรรมใหม่) โดยหลังจากที่แนะนำให้เข้าซื้อหุ้นรอบล่าสุดไปที่บริเวณดัชนี 1,370 จุด แนะนำนักลงทุนใช้กลยุทธ์ Wait & See ไปก่อน โดยกำหนดกลยุทธ์ด้านเทคนิคแนวรับถัดไปที่ระดับ 1,340-1,350 จุด
มองกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจประจำเดือนนี้ ได้แก่ 1.กลุ่มส่งออกที่ได้ประโยชน์จากการอ่อนค่าของเงินบาท ได้แก่ COCOCO, PLUS, MALEE, AAI, ITC, STGT 2.กลุ่มธนาคารที่แนวโน้มความอ่อนแอของ NIM ได้ถูกสะท้อนเข้าไปอยู่ในสมมติฐานของนักวิเคราะห์ รวมถึงราคาหุ้นในปัจจุบันไปมากแล้ว เลือก BBL, KTB, TTB และ 3.กลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะถูกนำเข้าสู่ดัชนี SET50 ในรอบถัดไปได้แก่ BJC, TIDLOR, BCP, ITC