
นายขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไซมิส แอสเสท (SA) เปิดเผยว่า แผนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในปี 2566-2568 หรืออีก 3 ปีข้างหน้า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ปี 2568 ไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท เป็นสถิติสูงสุดใหม่ (All Time High) และมีอัตรากำไรสุทธิที่ระดับ 15-20% โดยมุ่งเน้นการสร้างสัดส่วนรายได้ในสัดส่วนที่เท่ากัน (50:50) ระหว่างการขายโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบและแนวสูง และเพิ่มรายได้จากธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องอีกราว 1,700 ล้านบาท โดยคาดว่าสัดส่วนรายได้ประจำ (Recurring Income) จะอยู่ที่ราว 10-15% ของรายได้รวม
สำหรับแผนงานปี 2566 บริษัทวางกลยุทธ์พัฒนาโครงการใหม่มูลค่ารวม 18,400 ล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถทำรายได้ปีนี้ได้ราว 6,500 ล้านบาท เป็นสถิติใหม่สูงสุด หลังปีที่ผ่านมาไม่มีแผนการเปิดโครงการใหม่ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยการเปิดโครงการใหม่แบ่งเป็นโครงการแนวราบจำนวน 4 โครงการ มูลค่ารวม 7,000 ล้านบาท โดยเน้นเรื่องความทันสมัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่อยู่อาศัย ประกอบด้วย 1. โครงการ Siamese Kin รามอินทรา เฟส 2 พัฒนาในรูปแบบบ้านแฝดและทาวน์โฮม จำนวน 36 ยูนิต มูลค่าโครงการ 250 ล้านบาท
และ 2. โครงการ Siamese Holm พหลฯ-วิภาวดี พัฒนาในรูปแบบบ้านเดี่ยว จำนวน 192 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท 3. โครงการ Siamese Blossom พหลฯ-วิภาวดี พัฒนาในรูปแบบบ้านแฝดและทาวน์โฮม จำนวน 445 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท และ 4. โครงการ Monsane ราชพฤกษ์ แจ้งวัฒนะ พัฒนาในรูปแบบบ้านเดี่ยว Luxury จำนวน 175 ยูนิต มูลค่าโครงการราว 3,300 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนพัฒนาโครงการแนวสูงในรูปแบบ Mixed Use จำนวน 3 โครงการ มูลค่ารวม 11,400 ล้านบาท ทำเลใจกลางเมือง ซึ่งจะมีการจัดสรรพื้นที่บางส่วนของโครงการเป็นพื้นที่เช่าเชิงพาณิชย์ และเป็นห้องพักรูปแบบโรงแรม หรือเซอร์วิสเรสซิเดนซ์ เพื่อกระจายแหล่งที่มารายได้ให้มีความหลากหลายมากขึ้น โดยคาดว่าจะสามารถทยอยเปิดตัวโครงการ Wellness & Healthcare ตลิ่งชัน และอีก 2 โครงการได้ในปีนี้
ปัจจุบัน บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 6,506.6 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ใน 3 ปีจากนี้ โดยบริษัทมุ่งเน้นในการปิดการขายในปีนี้ เพื่อผลักดัน Backlog ให้อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง จากโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จจำนวน 8 โครงการ มูลค่ารวม 20,000 ล้านบาท และโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างจำนวน 5 โครงการ มูลค่ารวม 19,500 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังเห็นโอกาสในการเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อผลักดันให้มีสัดส่วนรายได้ประจำที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรม ซึ่งปีนี้มีแผนขยายโครงการเพิ่มเติม 1 แห่ง จำนวน 300 ห้อง และคาดว่าปี 2568 จะมีห้องให้บริการถึง 1,200 ห้อง และยังเห็นการเติบโตของธุรกิจพื้นที่ให้เช่า ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจด้านสุขภาพ ธุรกิจเทคโนโลยีของการพักอาศัย ธุรกิจการเงินและการลงทุน จากอานิสงส์การกลับมาของนักท่องเที่ยวและนักลงทุนต่างชาติ และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
อย่างไรก็ดี บริษัทยังมีที่ดินรอพัฒนา (Landbank) อีกมาก คิดเป็นมูลค่าราว 5,000-6,000 ล้านบาท อยู่ในย่านรัชดา, สุขุมวิท 16, และรามอินทรา โดยมีการวางแผนพัฒนาโครงการใหม่ๆ และธุรกิจอื่นๆ อยู่เสมอ เพื่อให้บริษัทเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร และสนับสนุนผลการดำเนินงานให้สามารถเติบโตได้อย่างโดดเด่น
นายขจรศิษฐ์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันหุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์มีสภาพคล่องต่ำ ส่งผลกับการลงทุนของนักลงทุน ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทมีการเสนอขายหลักทรัพย์ต่อกรรมการหรือพนักงาน (ESOP) ให้กับพนักงานในปีนี้แล้ว 7,500,000 หุ้น และมีแผนจะเสนอขาย ESOP ปีหน้าอีก 7,500,000 หุ้น ซึ่งมองว่าจะสามารถเพิ่มสภาพคล่องให้กับหุ้นของบริษัทได้
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนขยายการลงทุนในต่างประเทศ โดยมองว่าเป็นน่านน้ำใหม่ที่จะสามารถทำตลาดได้ จากสัดส่วนอายุเฉลี่ยของประชากรยังต่ำ เมื่อเทียบกับประเทศไทยที่กำลังจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยอยู่ระหว่างการมองหาพาร์ตเนอร์ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งกำลังศึกษาและอยู่ระหว่างการเจรจา เพื่อหาโอกาสการลงทุนในประเทศฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย เนื่องจากมองว่าตลาดในประเทศดังกล่าว มีอัตราการเติบโตที่รวดเร็ว และมีจำนวนประชากรมาก.