ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 2 ส.ค.64 ปิด 1,525.11 จุด บวก 3.19 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 66,337.76 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 870.03 ล้านบาท
นักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ให้ความเห็น ศบค.ขยายเวลาและพื้นที่ควบคุมสูงสุดเข้มงวดอีก 14 วัน ขณะที่ขยายพื้นที่ควบคุมเข้มงวดสูงสุด (สีแดง) ขึ้นเป็น 29 จังหวัด ประมาณการ GDP ปีนี้ worst case จะขยายตัวที่ 0% แต่ถ้าล็อกดาวน์นานเกิน 2 เดือนเสี่ยงที่ GDP จะติดลบได้ ส่วน SET Index มองไว้ที่ 1,450 จุด แนะให้ น้ำหนักลงทุนในหุ้น 50% ถือเงินสด 50%
ขณะที่ บล.กสิกรไทย ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้เหลือโตแค่ 1% จากเดิมคาด 1.8% มองดัชนีหุ้นไทยปีนี้ลงเหลือ 1,610 จุด ปรับลงจาก 1,650 จุด แต่เมื่อมีการล็อกดาวน์ภาครัฐก็จะอัดฉีดเงิน
เข้าระบบเพิ่ม เพื่อให้มีตัวเลขทางเศรษฐกิจ แต่ตอนนี้การท่องเที่ยวไม่มีอยู่แล้ว การบริโภคภายในประเทศก็น้อยลงอยู่แล้ว
สิ่งเดียวที่จะเป็นความคาดหวังได้คือตัวเลขส่งออกที่ดีมากว่าจะช่วยเศรษฐกิจไทยปีนี้ไม่ให้ติดลบ ก็ยังมองแค่เสมอตัวอยู่
ปิดท้าย บล.ทรีนีตี้ แนะกลยุทธ์ลงทุนพอร์ตที่ทยอยสะสมหุ้นมาก่อนหน้านี้ที่ดัชนีต่ำกว่า 1,550 จุดลงมาถือครองหุ้นไว้ก่อนได้ ขณะที่นักลงทุนที่ต้องการเข้าสะสมหุ้นครั้งใหม่รอจังหวะดัชนีย่อตัวแถวแนวรับเดือนนี้ที่ให้ไว้ที่ 1,480-1,500 จุด น่าจะเป็นระดับการเข้าลงทุนที่ปลอดภัย Valuation ต่ำ และมีการซื้อขายที่ระดับ Forward PE 15.5 เท่า เท่านั้น ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง ที่ 17.2 เท่า
ธีมการลงทุนที่น่าสนใจ เดือน ส.ค. มีทั้งหมด 7 กลุ่ม ดังนี้ 1.กลุ่มสินค้าส่งออกจำพวกอาหารและอุตสาหกรรมการเกษตร ได้แก่ PM, SUN, XO 2.กลุ่ม Logistics ที่ยังคงมี Valuation ถูก ได้แก่ NCL, WICE 3.กลุ่มเครื่องดื่มที่มียอดส่งออกช่วยหนุนการเติบโตและมี Upside จากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ได้แก่ ICHI, SAPPE
4.กลุ่มบรรจุภัณฑ์ที่ Laggard และยังคงมีแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่ดี ได้แก่ SFLEX, SFT, UTP 5.กลุ่มการแพทย์ ได้แก่ BDMS, CHG 6.กลุ่มยาและอาหารเสริม ได้แก่ IP, MEGA 7.กลุ่ม Commodities ต้นน้ำ ซึ่งน่าจะได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่อยู่สูงต่อไป ได้แก่ PTTEP.
อินเด็กซ์ 51