ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 14 พ.ย.62 ปิดที่ 1,609.47 จุด ลดลง 5.67 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 48,833.53 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 392.34 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด STEC ปิด 14.40 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง, PTT ปิด 44.75 บาท ลบ 0.50 บาท, KBANK ปิด 149 บาท ลบ 0.50 บาท, ADVANC ปิด 232 บาท ลบ 1 บาท และ AOT ปิด 79 บาท บวก 0.75 บาท
“ไพบูลย์ นลินทรางกูร” ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ มองข้ามช็อตไป ปี 63 ว่า หุ้นไทยยังน่าสนใจลงทุน มีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน ทั้งการดำเนินนโยบายการเงิน (คิวอี) การอัดฉีดเงินเข้ามาในระบบของธนาคารกลางหลายประเทศ รวมถึงเป็นช่วงที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ
ทำให้ประเมินว่าปีหน้านักลงทุนต่างชาติจะโยกเงินลงทุนที่อยู่ใน ตลาดตราสารหนี้ เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากถึง 100,000 ล้านบาท
“ปีหน้าจะเห็นการโยกเงินจากนักลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก ที่ให้ผลตอบแทนดีในปีนี้มายังตลาดหุ้นไทย และโยกจากตลาดตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนต่ำมายังตลาดหุ้นไทยด้วย ส่งผลให้กระแสเงินทุนต่างชาติมีโอกาสจะไหลเข้าประมาณแสนล้านบาท ส่วนแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทย คาดจะดีขึ้นกว่าปีนี้ แต่ยังเร็วเกินไปที่จะระบุถึงเป้าหมาย”
ขณะที่ยังมีปัจจัยบวกจากภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่มีทิศทางดีขึ้น ทั้งความชัดเจนจากสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ที่มีแนวโน้มคลี่คลาย เนื่องจากปีหน้าสหรัฐฯจะเลือกตั้งประธานาธิบดี ทำให้มีการประเมินว่า “โดนัลด์ ทรัมป์” ที่ลงสมัครอีกครั้ง น่าจะไม่ออกนโยบายที่เป็นความเสี่ยงอีก รวมถึงปัญหาเบร็กซิตของอังกฤษเชื่อว่าจะได้ข้อสรุปที่ลงตัว
ส่วนเศรษฐกิจไทยคาดว่าปี 63 จะขยายตัวมากกว่า 3% จากผลการใช้มาตรการการเงิน-การคลังกระตุ้นเศรษฐกิจที่เริ่มเห็นผล ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่า และกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) น่าจะฟื้นตัวดีขึ้น
สำหรับทิศทางหุ้นไทยช่วงที่เหลือของปีนี้จะปรับขึ้นได้ไม่มาก ดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีคาดจะปรับขึ้นไม่เกิน 1,700 จุด สาเหตุที่หุ้นไทยปีนี้น่าผิดหวัง เพราะนักลงทุนมองปัจจัยสั้นมากกว่ามองปัจจัยพื้นฐาน รวมทั้งนักลงทุนต่างชาติที่มักลงทุนระยะยาว แต่ปัจจุบันกลับเน้นลงทุนระยะสั้นขึ้น
ขณะที่หุ้นไทยยังสวนทางกับตลาดหุ้นทั่วโลก ที่มีปัจจัยลบแต่ดัชนีกลับปรับขึ้นได้ดีกว่า ทั้งตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับขึ้น 25% ตลาดหุ้นจีนขึ้น 26% เยอรมนีและฝรั่งเศสขึ้น 25% อังกฤษขึ้น 10%.
อินเด็กซ์ 51