
แม้จะมีคำแนะนำจากนักวางแผนการเงินหรือผู้เชี่ยวชาญการเงินให้มนุษย์เงินเดือน หรือผู้ลงทุนควรเริ่มวางแผนภาษีและทยอยซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีตั้งแต่เนิ่นๆ อย่ารอจนถึงวันสุดท้ายของปีแล้วค่อยตัดสินใจ เพื่อให้มีโอกาสเลือกลงทุนในกองทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายและช่วงอายุและผลตอบแทนที่คาดหวัง
แต่ยังมีคนจำนวนมาก ที่พอเข้าสู่เดือนสุดท้ายของปีแล้วรีบเร่งซื้อ จนไม่ทันได้เลือกกองทุน เมื่อผู้แนะนำการลงทุน เสนอขายหรือแนะนำกองไหนมาก็เอาไว้ก่อน เพราะกลัวจะลงทุนไม่ทัน เดี๋ยวจะพลาดโอกาสรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีได้
สำหรับปี 2568 นี้ ก็เช่นกัน โดยปีนี้สามารถซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี RMF และ Thai ESG ได้จนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2568
ดังนั้น จึงต้องมาย้ำและทำความเข้าใจกันอีกครั้ง ว่า ในปี 2568 นี้ ผู้ลงทุนจะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากการออมและลงทุนได้รวม 800,000 บาท บวกกับ กองทุนรวม Thai ESG สูงสุด 300,000 บาท+ Thai ESGX สูงสุด 300,000 บาท รวมทั้งสิ้น 1,400,000 บาท ซึ่งสามารถใช้สิทธิจากการออมและลงทุน ดังนี้
1. การทำประกันชีวิตแบบบำนาญนำมาหักลดหย่อนได้สูงสุด 200,000 บาท และเมื่อรวมกับการลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF), กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) ข้าราชการ เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.), กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน, รวมการลงทุนทั้งหมดนี้แล้ว จะนำมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 500,000 บาท แต่ต้องไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน
2. ลงทุนในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน หรือกองทุนรวม Thai ESG ซึ่งเริ่มในปี 2566 นำมาลดหย่อนได้สูงสุด 300,000 บาท แต่ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน
3. กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ หรือ Thai ESGX (เงินลงทุนใหม่) สูงสุด 300,000 บาท ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน (ต้องลงทุนในช่วง 1 พ.ค. - 30 มิ.ย. 2568 ที่ผ่านมา)
4. กองทุนรวม Thai ESGX (สับเปลี่ยนจาก LTF เดิมที่ครบกำหนดอายุแล้ว) สูงสุด 300,000 บาท (ต้องลงทุนในช่วง 1 พ.ค. - 30 มิ.ย. 2568 ที่ผ่านมา)
ทั้งนี้ ดูตัวอย่างง่าย ๆ ตามตาราง ดังนี้
โดยตารางนี้ จะทำให้ในปี 2568 ผู้ลงทุนจะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากการออมและลงทุนได้รวม 1,400,000 บาท
สำหรับบัญชีเงินออม TISA (Thailand Individual Savings Account) ที่รัฐบาลผลักดันให้นักลงทุนสามารถซื้อหุ้นไทยรายตัวได้โดยตรง เพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวที่สามารถนำเงินลงทุนในหุ้นผ่านบัญชี TISA มาลดหย่อนภาษีได้โดยตรงตามจริง โดยไม่ต้องผ่านกองทุนรวมอย่าง RMF หรือ SSF แบบเดิมๆ โดยหุ้นที่ออมใน TISA สามารถนำมาลดหย่อนได้ตามจริง ไม่เกิน 800,000 บาท ซึ่งเป็นวงเงินเดียวกับการลงทุนอย่างอื่นที่ลดหย่อนได้ เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กบข., ประกันบำนาญ, RMF, ThaiESG (ซึ่งเป็นวงเงินที่รวมกับกองทุนลดหย่อนภาษีอื่นๆ ในข้อที่ 1 และข้อ 2)
โดยมีเงื่อนไขการลงทุนที่ต้องถือครองหลักทรัพย์ในบัญชีไม่น้อยกว่า 5 ปี และจะสามารถไถ่ถอนได้เมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มเม็ดเงินลงทุนเข้าสู่ตลาดทุนโดยตรง และส่งเสริมความมั่นคงทางการเงินเพื่อรองรับสังคมสูงวัย
ทั้งนี้ เบื้องต้น มีหลักการว่า สามารถหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2 กรณี คือ
1. กรณีผู้มีเงินได้พึงประเมินไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ให้หักลดหย่อนได้ 1.3 เท่า สูงสุดไม่เกิน 1.04 ล้านบาท
2. กรณีมีเงินได้เกิน 1.5 ล้านบาท ให้หักลดหย่อนได้ 0.7 เท่า หรือสูงสุดไม่เกิน 560,000 บาท
แต่หลักการทั้งหมดนี้ยังเป็นเบื้องต้น รอกระทรวงการคลังทบทวนก่อนส่งเข้าที่ประชุม ครม.เคาะอนุมัติภายในสิ้นปี 2568 นี้ เพื่อให้มีผลบังคับใช้ปี 2569 และเมื่อสถานการณ์การเมืองเปลี่ยน รัฐบาลของ "อนุทิน ชาญวีรกุล" ประกาศยุบสภา เรื่องนี้ก็ยังต้องรอความชัดเจนอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายนี้ มีคำเตือนหรือข้อแนะนำสำคัญจาก นักวางแผนการเงินและผู้เชี่ยวชาญการเงิน ว่า การลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีไม่ควรมองเพียงแค่ประโยชน์เรื่องการลดหย่อนภาษีเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมองถึงการวางแผนการเงินระยะยาวด้วย
โดยการเลือกกองทุน RMF เพื่อการเกษียณ ควรเลือกด้วยความรอบคอบและสอดคล้องกับเป้าหมายชีวิตของตนเอง ถึงแม้จะมีกองทุนให้เลือกจำนวนมาก แต่ต้องเข้าใจหลักการลงทุนและเป้าหมายการลงทุนที่ถูกต้อง
เพราะการเลือกกองทุนที่เหมาะสมจะช่วยให้นักลงทุนสามารถถือครองกองทุนได้ในระยะยาวเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยไม่กังวลถึงผลขาดทุน เช่น ที่เคยเกิดขึ้นกับกองทุน LTF ในอดีตที่สร้างความเจ็บปวดให้กับผู้ลงทุนมนุษย์เงินเดือนจำนวนมาก!!
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้