หลาย “ไม่” ของปัญหาหนี้ครัวเรือนไทย ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย… ไม่รอด

Experts pool

Columnist

Tag

หลาย “ไม่” ของปัญหาหนี้ครัวเรือนไทย ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย… ไม่รอด

Date Time: 6 ธ.ค. 2568 08:17 น.

Video

SAWAKAMI บลจ.ญี่ปุ่นบุกไทย | BrandStory Exclusive EP.26

Summary

ในโครงสร้างปัญหาหนี้ครัวเรือน ข้อมูลหลายมิติชี้ไปในทิศทางเดียวกัน ว่าเบื้องหลังตัวเลขสัดส่วนหนี้ต่อ GDP ที่ลดลง คืออาการอ่อนแอของเศรษฐกิจและฐานะการเงินครัวเรือน ไม่ใช่สัญญาณฟื้นตัวที่แข็งแรง

Latest


ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอย่างต่อเนื่อง ทั้งในมิติผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ภาระทางสังคม และความพยายามหาแนวทางแก้ไขเชิงนโยบาย โดยเฉพาะหลังวิกฤต COVID-19 ที่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP เร่งตัวขึ้นไปแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 95.5% ในช่วงไตรมาสแรกปี 2564 แม้หลังจากนั้นตัวเลขดังกล่าวทยอยลดลงต่อเนื่องตลอด 6 ไตรมาส จนอยู่ที่ 86.8% ในไตรมาส 2 ปีนี้ แต่ตัวเลขที่ลดลง “อาจลวงตา” หากมองเพียงผิวเผินว่า ปัญหาหนี้ครัวเรือนคลี่คลายแล้ว

สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ที่ลดลงครั้งนี้ ส่วนสำคัญมาจากยอดหนี้คงค้างที่ขยายตัวต่ำกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยยอดหนี้รวมของภาคครัวเรือนหดตัวติดต่อกันเป็นไตรมาสที่สอง ซึ่งต่างจากรอบวัฏจักรในอดีตที่การลดหนี้มักสะท้อนการฟื้นตัวอย่างแข็งแรงของรายได้และฐานะการเงิน การปรับลดในรอบนี้กลับมีลักษณะของ “Unhealthy Deleveraging” หรือการลดหนี้ที่สะท้อน “ความเปราะบาง” มากกว่าความแข็งแรงของเศรษฐกิจฐานราก แสดงให้เห็นว่า หลัง COVID-19 เศรษฐกิจไทยยังมี “บาดแผล” ที่ไม่ได้รับการเยียวยาอย่างแท้จริง

หากพิจารณาลึกลงไปในโครงสร้างของปัญหาหนี้ครัวเรือน ข้อมูลในหลายมิติชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่าเบื้องหลังตัวเลขสัดส่วนหนี้ต่อ GDP ที่ลดลง คืออาการอ่อนแอของเศรษฐกิจและฐานะการเงินครัวเรือน ไม่ใช่สัญญาณการฟื้นตัวที่แข็งแรง ดังนี้

ไม่มี…รายได้เพียงพอต่อรายจ่ายและการชำระหนี้

ต้นตอสำคัญของปัญหาหนี้ครัวเรือนหนีไม่พ้นเรื่อง “รายได้ไม่พอรายจ่าย” จนนำไปสู่การเป็นหนี้เพิ่มขึ้น ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนไทยลดลงจาก 29,502 บาทต่อเดือนในช่วงครึ่งแรกปี 2566 เหลือเพียง 28,151 บาทต่อเดือนในช่วงครึ่งแรกปี 2568 หรือลดลงถึง 4.6%YOY โดยประเภทของรายได้ที่ลดลงมากที่สุดคือ “รายได้จากการทำงาน” ซึ่งหดตัวถึง 5.7%YOY ส่วนหนึ่งเป็นผลจากแรงงานบางส่วนหันไปประกอบอาชีพอิสระที่มีรายได้ไม่แน่นอนมากขึ้น ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจไทยหลังวิกฤต COVID-19 ก็ฟื้นตัวได้ช้า

ผลสำรวจ SCB EIC Consumer survey 2568 สะท้อนภาพเดียวกันว่า รายได้ของครัวเรือนจำนวนมากไม่ได้ขยับตามรายจ่าย โดยกว่า 2 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่ารายได้เท่าเดิมหรือลดลงในช่วงปีที่ผ่านมา ขณะที่รายจ่ายส่วนใหญ่ยังใกล้เคียงเดิมหรือเพิ่มขึ้น ทำให้ในภาพรวมกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามมีปัญหารายได้ไม่พอรายจ่าย (รวมหนี้)

หากมองตามระดับรายได้ จะพบว่ากลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อเดือนเผชิญปัญหารุนแรงที่สุด โดยประมาณ 60% ของกลุ่มนี้ยอมรับว่ามีภาวะรายได้ไม่พอรายจ่าย อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่ากังวลไม่น้อยไปกว่ากันคือสัญญาณที่เริ่มปรากฏชัดในกลุ่มรายได้ปานกลาง–สูง ซึ่งเคยถูกมองว่าการเงินค่อนข้างมั่นคงมาก่อน โดยในกลุ่มที่มีรายได้มากกว่า 50,000 บาทต่อเดือน พบว่าราว 1 ใน 3 เริ่มประสบปัญหารายได้ไม่พอรายจ่ายเช่นกัน และที่น่าสนใจคือ ในกลุ่มรายได้สูงระดับ 100,000–200,000 บาทต่อเดือน สัดส่วนผู้ตอบที่บอกว่ามีปัญหานี้บ่อยเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับผลสำรวจปี 2567 สะท้อนว่าความตึงตัวด้านสภาพคล่องกำลังกระจายจากคนกลุ่มรายได้น้อย ไปยังกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจนำไปสู่การก่อหนี้เพิ่มและการชะลอการบริโภคในระยะถัดไป

ไม่หนี ไม่จ่าย…หนี้ตามกำหนด ก่อให้เกิดปัญหาหนี้เรื้อรัง

เมื่อรายได้ไม่พอรายจ่าย การก่อหนี้มักถูกใช้เป็น “กันชน” ชั่วคราว ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจและรายได้ที่ฟื้นตัวช้า ความเสี่ยงสำคัญที่ตามมาคือ การผิดนัดชำระหนี้ ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายได้เพียงขั้นต่ำ หรือไม่สามารถชำระได้เลย

ข้อมูลจากบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) สะท้อนว่าปัญหาหนี้ครัวเรือนมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น แม้ยอดหนี้รวมจะเติบโตช้าลง แต่หนี้เสียและหนี้ที่เริ่มผิดนัดชำระ กลับยังอยู่ในระดับสูง โดย ณ เดือนเมษายน 2568 มูลค่าหนี้เสีย (NPL) อยู่ที่ราว 1.2 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 8.9% ของหนี้รวมทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากช่วงสิ้นปี 2566 ที่อยู่ราว 1.05 ล้านล้านบาท หรือ 7.7% ของหนี้รวม ที่น่ากังวลคือ หนี้เสียจำนวนมากกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มรายย่อยที่มูลหนี้ไม่สูงและไม่มีหลักประกัน โดยกว่า 64% ของจำนวนบัญชี NPL เป็นกลุ่มที่มูลหนี้ไม่ถึง 100,000 บาท สะท้อนว่าปัญหาหนี้เรื้อรังไม่ได้เกิดเฉพาะในกลุ่มที่กู้เงินจำนวนมาก แต่กระจายอยู่ในมูลหนี้เล็ก ๆ ของคนจำนวนมากในระบบ

มองไปข้างหน้า ความเสี่ยงในการผิดชำระหนี้ยังคงน่าจับตา ผลสำรวจของ SCB EIC Consumer survey 2568 พบว่า แม้ผู้มีหนี้ส่วนใหญ่กว่า 85% จะยังชำระหนี้ได้ตามปกติ แต่มากกว่าครึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามที่มีหนี้ยอมรับว่า “ภาระหนี้เริ่มเป็นปัญหามากขึ้น” โดยราว 40% ระบุว่ายังจ่ายหนี้ได้ครบ แต่รู้สึกว่าภาระหนี้ในปัจจุบันเป็นภาระที่หนักและสร้างความกังวล

ปรากฏการณ์นี้สะท้อนว่า ความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนกำลังอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของรายได้และรายจ่ายในอนาคตมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มรายได้ปานกลาง–สูง (มากกว่า 50,000 บาทต่อเดือน) ที่แม้ส่วนใหญ่ยังไม่มีปัญหาผิดนัดชำระ แต่เริ่มรู้สึกว่าภาระหนี้เป็นแรงกดดันสำคัญ ซึ่งสุดท้ายอาจสะท้อนเป็นความเสี่ยง NPL และแรงกดดันต่อการบริโภคในระยะข้างหน้า

ไม่รอด…แม้ได้รับการปรับโครงสร้างหนี้

เมื่อปัญหาหนี้ครัวเรือนลุกลาม หนึ่งในเครื่องมือหลักที่ถูกนำมาใช้คือ มาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐและสถาบันการเงิน โดยเฉพาะ “การปรับโครงสร้างหนี้” เพื่อยืดระยะเวลาผ่อน ลดค่างวด หรือปรับเงื่อนไขใหม่ให้ลูกหนี้ยังพอเดินหน้าต่อไปได้ทั้งในระดับครัวเรือนและเศรษฐกิจโดยรวม

อย่างไรก็ดี ผลการศึกษาของ SCB EIC โดยใช้ฐานข้อมูลจากเครดิตบูโร พบว่าผลลัพธ์ของการปรับโครงสร้างหนี้ในช่วงที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จจำกัดหากมองในเชิงโอกาสฟื้นตัวของลูกหนี้ ย้อนดูข้อมูลย้อนหลัง 7 ปี พบว่า จากลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสีย (NPL) ทั้งหมด มีเพียงประมาณ 23% ที่สามารถเข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ได้

ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ ในบรรดาผู้ที่ได้รับการปรับโครงสร้างหนี้แล้ว มีเพียงราว 15% เท่านั้นที่ “รอดจริง” คือกลับมาชำระหนี้ได้สม่ำเสมอต่อเนื่องเกิน 6 เดือนล่าสุด ขณะที่กลุ่มใหญ่ถึงประมาณ 72% แม้จะเคยปรับโครงสร้างหนี้แล้ว แต่สุดท้ายก็กลับไปเป็นหนี้เสียใหม่ หรือไม่สามารถกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติ โดยเฉพาะในกลุ่มลูกหนี้นอนแบงก์และเกษตรกร สะท้อนว่ามาตรการแก้หนี้ในอดีตอาจยังไม่ตอบโจทย์เชิงโครงสร้างของปัญหาหนี้

อย่างไรก็ดี ตั้งแต่ต้นปี 2568 เป็นต้นมา ภายหลังที่ภาครัฐและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องยกระดับการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างจริงจัง มาตรการใหม่หลายรายการเริ่มสะท้อนผลลัพธ์เชิงบวกมากขึ้น โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” เป็นหนึ่งในตัวอย่าง โดยข้อมูลชี้ว่าลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการและปรับโครงสร้างหนี้ในปี 2568 เป็นกลุ่มที่มีโอกาสกลับมาชำระหนี้ได้อย่างสม่ำเสมอสูงกว่าในอดีต นอกจากนี้ สำหรับกลุ่ม NPL ที่เคยปรับโครงสร้างหนี้มาก่อนปี 2568 แล้วไม่สำเร็จ แต่ได้รับโอกาสอีกครั้งในปี 2568 พบว่าสัดส่วนที่กลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนว่าหากออกแบบมาตรการให้สอดคล้องกับศักยภาพและรูปแบบรายได้จริงของลูกหนี้มากขึ้น โอกาส “รอดจริง” ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

ลบ “ไม่” ออกจากสมการหนี้ครัวเรือน

ปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นโจทย์ระดับชาติที่ทุกภาคส่วนต่างตระหนักถึงความสำคัญ และเริ่มเข้ามามีบทบาทแก้หนี้อย่างจริงจังมากขึ้นในช่วงหลัง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการแก้ปัญหานี้ไม่ง่าย และไม่สามารถแก้ได้ในชั่วข้ามคืน

มาตรการแก้หนี้ที่ยั่งยืนจึงควรเริ่มจากการ “แยกแยะลูกหนี้” อย่างชัดเจนว่า ใครยังมีศักยภาพฟื้นตัวได้ หากได้รับเวลาหายใจเพิ่ม และใครที่เปราะบางเกินกว่าจะรับภาระในรูปแบบเดิมต่อไปได้ กลุ่มที่ยัง “พอไปต่อได้” ควรได้รับโอกาสปรับโครงสร้างหนี้อย่างจริงจัง ทั้งการยืดระยะเวลาผ่อน ปรับอัตราดอกเบี้ยให้เหมาะสม และร่วมกันออกแบบแผนชำระหนี้ที่สอดคล้องกับรูปแบบรายได้จริง กลุ่มที่ “ไม่ไหวจริง ๆ” อาจต้องมีเครื่องมือเฉพาะ เช่น การโอนหนี้ไปบริหารผ่านหน่วยงานเฉพาะ การใช้มาตรการลดภาระหนี้ควบคู่กับการฟื้นฟูอาชีพและรายได้ เพื่อให้การช่วยเหลือไม่ได้จบลงแค่การปรับตัวเลขหนี้ แต่รองรับคุณภาพชีวิตหลังการแก้หนี้ด้วย

นอกจากนี้ การสร้างระบบการเงินที่ยั่งยืนในระยะยาวควรทำให้ “ข้อมูลเครดิต” กลายเป็นเครื่องมือสร้างแรงจูงใจเชิงบวก ไม่ใช่เพียงเครื่องมือคัดกรองความเสี่ยง หากลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการแก้หนี้สามารถรักษาวินัยการชำระหนี้ได้ต่อเนื่อง ก็ควรได้รับแรงจูงใจทางการเงินเป็นรางวัล เช่น อัตราดอกเบี้ยที่ดีขึ้นในอนาคต หรือโอกาสเข้าถึงสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องเพิ่มเติม หรือก็คือการทำให้ “วินัยดีมีคุณค่า” และ “วินัยแย่มีต้นทุนที่ชัดเจน” เป็นหัวใจของการสร้างภูมิคุ้มกันด้านการเงินในระบบ

ท้ายที่สุด ตัวลูกหนี้เองก็มีบทบาทสำคัญในการลบทุกคำว่า “ไม่” ออกจากสมการแก้หนี้ครัวเรือน ด้วยการหันมาสร้างวินัยทางการเงิน ติดตามรายรับ–รายจ่ายอย่างสม่ำเสมอ และขอคำปรึกษาผู้ให้บริการทางการเงินตั้งแต่ต้น เมื่อเริ่มรู้สึกว่า “ไม่ไหว” คือก้าวแรกของการเปลี่ยนจาก “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย… ไม่รอด” ไปสู่ “มีรายได้ จ่ายหนี้ครบ จบวงจรหนี้… ไปต่อได้อย่างยั่งยืน”

ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้  https://www.facebook.com/ThairathMoney



Author

ปุณยวัจน์ ศรีสิงห์

ปุณยวัจน์ ศรีสิงห์
นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC)