
เมื่อเราก้าวเข้าสู่ไตรมาสแรกของปี 2026 เศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อน InnovestX คาดการณ์ว่า GDP โลกปี 2025 จะเติบโต 2.9% และปี 2026 ที่ 3.0% แต่จะเห็นการชะลอตัวรุนแรงในครึ่งแรกของปี 2026 ก่อนค่อยฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง
สำหรับเศรษฐกิจไทย คาดว่า GDP ปี 2568-69 จะขยายตัวเพียง 1.8% และ 1.4% ตามลำดับ แม้กระทรวงการคลังจะมีมาตรการกระตุ้น 5 ด้าน อันได้แก่ (1) โครงการ “คนละครึ่ง Plus” (2) มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว (3) การคืนภาษีแบบเร่งรัด (4) นโยบายปรับโครงสร้างหนี้ครัวเรือนและจัดตั้ง AMC และ (5) เติมเงินผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แต่แนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอลงมากกว่าคาดทำให้เรายังคงประมาณการไว้ที่ระดับเดิม นอกจากนั้น เรามองว่า ในปี 2026 จะมี 5 ความเสี่ยงสำคัญที่ต้องจับตา
ความเสี่ยงแรก ได้แก่ การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐแบบ K-Shape โดยความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้น โดยข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่ากลุ่ม 10% ที่ร่ำรวยที่สุดมีส่วนในการใช้จ่ายเกือบครึ่งหนึ่งของการบริโภคทั้งหมดในสหรัฐฯ ขณะที่กลุ่ม 80% ที่เหลือมีส่วนแบ่งลดลงจาก 42% ก่อนโควิดเหลือเพียง 37% ในปัจจุบัน
นอกจากนั้น จากการศึกษาของ InnovestX ตั้งแต่ปี 2012 ถึงปัจจุบัน พบว่ากลุ่มรายได้ระดับบนที่ 100,000-150,000 ดอลลาร์ต่อปีมีการเติบโตของรายได้ในรอบ 12 ปี สูงถึง 5.3 เท่า ขณะที่กลุ่มรายได้ระดับล่าง (ต่ำกว่า 15,000 ดอลลาร์) อยู่ที่เพียง 2.2 เท่า เท่านั้น นั่นแปลว่า ช่องว่างรายได้ระหว่างคนรวยกับคนจนก็จะยิ่งมากขึ้น
ในขณะที่ปัจจุบัน นักเศรษฐศาสตร์หลายฝ่ายมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปัจจุบันว่าเหมือน “ปิระมิดกลับหัว” โดยตลาดหุ้นพุ่งสูงสุดใหม่ แต่การจ้างงานชะงักและการเลิกจ้างเพิ่มขึ้น ทำให้เรากังวลว่า หากตลาดหุ้นปรับตัวลง จะทำลายเสาหลักของความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจ และอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้
ความเสี่ยงที่สองได้แก่ ฟองสบู่ AI ผลจากการจัดหาเงินทุนแบบวงกลมปิด (Circular Financing) โดยตลาดหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ เผชิญความกังวลเรื่อง valuation ที่สูงเกินไปและรูปแบบการจัดหาเงินทุน ที่คล้ายยุค Dot-com Bubble โดยกรณีศึกษาที่น่ากังวลคือ Nvidia ลงทุนใน OpenAI 100,000 ล้านดอลลาร์
ขณะที่ OpenAI ซื้อชิปจาก Nvidia หลายพันล้านดอลลาร์และตกลงซื้อพลังประมวลผล 300,000 ล้านดอลลาร์จาก Oracle ในช่วง 5 ปีโดยยังไม่ชัดเจนว่าจะหาเงินจากไหน ขณะที่ CEO ของวานิชธนกิจรายใหญ่ เตือนโอกาสตลาดปรับลง 10-20% ใน 12-24 เดือนข้างหน้า ซึ่งหากเกิดจะกระทบห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกตั้งแต่ผู้ผลิต semiconductor ในไต้หวันและเกาหลีใต้ไปจนถึงไทย
ความเสี่ยงที่สาม Private Credit และธนาคารเงา ความเสี่ยงธนาคารสหรัฐฯ กำลังเปลี่ยนผ่านจาก Interest Rate Risk ในช่วง 2-3 ปีก่อน สู่ Credit Risk และ Liquidity Risk เห็นได้จาก Zions Bancorp และ Western Alliance Bancorp ที่ต้องตั้งสำรองหนี้สูญ และยื่นฟ้องผู้กู้ในข้อหาฉ้อโกง ทำให้หุ้นธนาคารร่วงกว่า 10% ขณะที่ธนาคารหลายแห่งเริ่มกู้เงินผ่าน overnight repo ของ Fed และเงินสำรองลดลงต่ำกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์
โดยเรามองว่า ความเสี่ยงที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ธนาคารโดยตรง แต่อยู่ที่การเชื่อมโยงที่ซับซ้อนระหว่างธนาคารกับสถาบันการเงินนอกระบบ โดยเฉพาะตลาด private credit ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งสร้างความเสี่ยงระบบใหม่ที่ขาดความโปร่งใสและการกำกับดูแลที่เพียงพอ หรืออาจเรียกได้ว่า Shadow Banking ของสหรัฐฯ
ความเสี่ยงที่สี่ ได้แก่ Fiscal Risk หรือวิกฤตการคลัง โดยเรามองว่า สหรัฐฯ เป็นจุดศูนย์กลางของความเสี่ยง โดยปัจจุบันขาดดุลงบประมาณ 2 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี (6.5% ของ GDP) และต้องจ่ายดอกเบี้ย 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี (20% ของรายได้รัฐบาล) ซึ่งสูงกว่าหลักเกณฑ์ปกติ 10-15% อย่างมีนัยสำคัญ โดยไตรมาส 2/2569 จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เมื่อเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจากภาษีศุลกากรและประธาน Fed Jerome Powell ครบวาระ หากเกิด “fiscal dominance” หรือการที่รัฐบาลทรัมป์บังคับให้ประธาน Fed ท่านใหม่ที่ตนแต่งตั้งทำนโยบายผ่อนคลายท่ามกลางเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น อาจนำไปสู่วิกฤตความเชื่อมั่นในเงินดอลลาร์และ Fed ได้
ทั้งนี้ กรณี ฝรั่งเศสที่ถูก S&P ปรับลดอันดับเครดิตจาก AA- เป็น A+ สะท้อนว่าโลกกำลังเผชิญวิกฤติการคลังที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ความเสี่ยงที่ห้า ได้แก่ ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์และสงครามแร่หายาก ทรัมป์ทำสงครามการค้ากับทุกประเทศโดยเฉพาะกลุ่ม BRICS ขึ้นภาษีอินเดีย 50%, บราซิล 50%, จีน 30% ส่งผลให้ Global South รวมตัวกันมากขึ้น ที่สำคัญคือการเปลี่ยนผ่านสู่ “สงครามเย็น 2.0” โดยสหรัฐฯ ต้องพึ่งพาการนำเข้าแร่ธาตุสำคัญ 100% ถึง 15 ชนิดและมากกว่า 50% อีก 28 ชนิด ขณะที่จีนควบคุมการผลิตแร่หายาก 60-80% และครอบงำเทคโนโลยีการแปรรูปมากกว่า 90% ของโลก การพักรบทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนเป็นเพียงการซื้อเวลาเพื่อเตรียมพร้อมสู่การแข่งขันที่รุนแรงกว่า
แม้จะมีความเสี่ยงมากมาย แต่ตลาดหุ้นไทยยังมีจุดแข็งที่น่าสนใจ การเมืองในประเทศชัดเจนขึ้นหลังคุณอนุทินได้เป็นนายกฯ และเริ่มมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ นอกจากนี้ EPS ของตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงการฟื้นตัว และเริ่มมีสัญญาณประมาณการกำไรที่เริ่มมีเสถียรภาพ
ทั้งนี้ InnovestX แนะนำกลยุทธ์ “Selective Buy” โดยเน้นหุ้น “Earning Play” ที่คาดผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ปี 2025 ยังเติบโตดี เช่น BCPG, BEM, BGRIM, MTC, PTT และหุ้นที่คาดได้ประโยชน์จากเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง เนื่องจากคาดคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายอีก 1 ครั้งในเดือนธันวาคมปีนี้ และอีก 2 ครั้งในช่วงครึ่งแรกของปี 2026
ขอให้นักลงทุนโชคดี
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้