
ครม. อนุมัติเพิ่มการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากสหรัฐฯ เป็น 1 ล้านตัน ภาษี 0% เพื่อทำตามข้อตกลงทางการค้า
ประเทศไทย “เด็กดีแห่งอาเซียน” เดินหน้าปฏิบัติตาม “บัญชา” ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ “โดนัลด์ ทรัมป์” อย่างว่าง่าย และอย่างรวดเร็ว
แม้การเจรจาจัดทำ “ความตกลงว่าด้วยภาษีต่างตอบแทนระหว่างไทย-สหรัฐฯ” หรือ Agreement on Reciprocal Trade (ART) ยังไม่แล้วเสร็จ
และยังไม่รู้ว่า “ศาลสูง” สหรัฐฯ ที่อยู่ระหว่างพิจารณาคดี “การออกคำสั่งฝ่ายบริหาร (Executive Orders) กำหนดภาษีนำเข้า โดยอ้างอำนาจตาม International Emergency Economic Powers Act 1977 (IEEPA) ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่” นั้น
จะมีคำตัดสินอย่างไร จะตัดสินเป็น “ปฏิปักษ์” กับรัฐบาลทรัมป์ โดยยืนตามคำตัดสินของศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ ที่ตัดสินไปแล้วว่า “เป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมาย เพราะ IEEPA ไม่ได้ให้อำนาจประธานาธิบดีเรื่องภาษีนำเข้า และสั่งยกเลิกเก็บภาษีนำเข้า ตั้งแต่วันที่ 14 ต.ค.68”
โดยภาษีที่สั่งให้ยกเลิก ประกอบด้วย ภาษี Trafficking Tariff ที่เก็บกับสินค้านำเข้าจากจีน เม็กซิโก และแคนาดา และ Reciprocal Tariff ที่เก็บกับสินค้านำเข้าจากคู่ค้าที่สหรัฐฯ เสียดุลการค้า หรือเก็บภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ สูงเกินไป (แต่รัฐบาลทรัมป์ ยังคงเก็บภาษีทั้ง 2 รายการต่อจนกว่าศาลสูงจะพิจารณาคดีเสร็จสิ้น)
แต่การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 11 พ.ย.68 กลับมีมติเห็นชอบเพิ่มปริมาณนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 69 ภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) หรือการนำเข้าจากสมาชิก WTO เป็น 1 ล้านตัน ภาษี 0% จากปกติที่เปิดนำเข้าปีละ 54,700 ตัน ภาษีในโควตา 20% และภาษีนอกโควตา 73%
โดยพุ่งเป้าการนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯเป็นสำคัญ จากปกติที่ไทยนำเข้าจากบราซิล และสมาชิก WTO อื่นๆ เพื่อให้เป็นไปตามหนึ่งใน “ข้อต่อรอง” ของทรัมป์ที่มีต่อไทย แลกกับภาษีตอบโต้ ที่สหรัฐฯเรียกเก็บกับสินค้านำเข้าจากไทยในอัตราต่ำเพียง 19% ไม่ใช่ 36% อย่างที่ประกาศไว้ครั้งแรก
มติ ครม.ยังให้ปรับเปลี่ยนผู้นำเข้า เป็น “ภาคเอกชน” หรือผู้ที่ใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์ จากเดิมนำเข้าในโควตา หรือไม่เกิน 54,700 ตัน ให้ “องค์การคลังสินค้า” นำเข้าเพียงผู้เดียว
รวมทั้งปรับเปลี่ยนระยะเวลานำเข้า เป็นตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.-30 มิ.ย. ก่อนช่วงผลผลิตไทยออกสู่ตลาด จากเดิมวันที่ 1 ก.พ.-31 ส.ค. ซึ่ง 2 ประเด็นนี้ เป็นไปตามข้อเสนอของ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” รองนายกรัฐมนตรีและรมว.เกษตรและสหกรณ์
และเพื่อป้องกันผลกระทบกับ “ราคา” ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของเกษตรกรไทย มติครม.ยังกำหนดเงื่อนไขให้ผู้นำเข้า “ต้อง” ซื้อผลผลิตในประเทศให้หมดก่อน ตามราคาที่กำหนด และกำหนดสัดส่วนซื้อในประเทศต่อการนำเข้าไว้ที่ 3 ต่อ 1 เช่น ต้องซื้อในประเทศ 300 กิโลกรัม (กก.) ถ้าจะนำเข้า 100 กก.
ทันทีที่ ครม.มีมติเช่นนั้น “นายพรเทพ ปู่ประเสริฐ” อุปนายกสมาคมการค้าพืชไร่ ออกโรงคัดค้าน และนำคณะเข้าพบ “ศุภจี สุธรรมพันธุ์” รมว.พาณิชย์ เมื่อวันที่ 13 พ.ย.68 เรียกร้องให้ “ทบทวน” มติครม.นี้
โดยย้ำว่า การนำเข้าในปริมาณมาก จะฉุดราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศให้ตกต่ำ และแม้รัฐบาลมีมาตรการป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้นแล้ว แต่ไม่มั่นใจว่า จะป้องกันปัญหาได้จริง
“ที่ผ่านมา รัฐมีมาตรการ 3 ต่อ 1 กำหนดให้ผู้ผลิตอาหารสัตว์ ต้องซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศ 3 ส่วนต่อการนำเข้าข้าวสาลี 1 ส่วน แต่ปรากฏว่า การนำเข้าข้าวสาลีปี 66 และปี 67 มากถึง 2.1 และ 2.5 ล้านตัน ทั้งๆ ที่ถ้าซื้อตามสัดส่วนที่กำหนด ควรไม่เกิน 1.6 ล้านตัน เพราะไทยผลิตข้าวโพดได้ประมาณ 4.5 ล้านตัน ปริมาณนำเข้าที่เกินมานั้น กดดันราคาข้าวโพดในประเทศมาก”
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ ได้ออกประกาศกำหนดให้ผู้ผลิตอาหารสัตว์ รับซื้อข้าวโพดในประเทศ ณ หน้าโรงงานอาหารสัตว์ในกรุงเทพฯและปริมณฑล ไม่ต่ำกว่ากิโลกรัม (กก.) ละ 9.80 บาท และขณะนี้ยังบังคับใช้อยู่ แต่มีเพียง 1-2 รายที่ซื้อราคานี้ ส่วนใหญ่ซื้อที่กก.ละ 9-9.10 บาท
“ไม่มั่นใจว่า การนำเข้า 1 ล้านตัน พร้อมกำหนดให้ผู้นำเข้าต้องซื้อของในประเทศก่อน รวมทั้งกำหนดสัดส่วนการซื้อในประเทศต่อการนำเข้า 3 ต่อ 1 และกำหนดราคารับซื้อ จะช่วยลดผลกระทบได้จริงหรือไม่ และอยากให้รัฐบาลส่งเสริมให้ผู้ผลิตอาหารสัตว์ใช้สินค้าเกษตรในประเทศ ทั้งรำข้าว ปลายข้าว มันสำปะหลัง ที่ราคากำลังตกต่ำมาก เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรไทยด้วย”
ส่วนฟากฝั่งของกระทรวงพาณิชย์ “ศุภจี” ยืนยันว่า สาเหตุเพิ่มโควตานำเข้าเป็น 1 ล้านตัน เพราะผลผลิตในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ โดยไทยผลิตได้ปีละประมาณ 4.5 ล้านตัน แต่ต้องการใช้ถึง 9 ล้านตัน อย่างไรก็ตาม ปริมาณ 1 ล้านตัน เป็นกรอบที่วางไว้ ยังไม่ได้ตกลงกับสหรัฐฯเป็นลายลักษณ์อักษร
“อย่ามองว่าเป็นการเพิ่มโควตานำเข้าจาก 54,700 ตัน เป็น 1 ล้านตัน แต่ที่เพิ่มเพราะไทยผลิตไม่พอ และจำเป็นต้องนำเข้า ที่ผ่านมา ก็นำเข้าอยู่แล้ว อีกทั้งการนำเข้าภาษี 0% จะช่วยลดต้นทุนการผลิตอาหารสัตว์ ทำให้ราคาอาหารสัตว์ถูกลง และต้นทุนภาคปศุสัตว์ก็ถูกลงด้วย”
นอกจากนี้ การนำเข้าได้กำหนดมาตรการดูแลเกษตรกรในประเทศ โดยให้ปรับระยะเวลานำเข้าให้สั้นลง ก่อนที่ผลผลิตในประเทศจะออก จะได้ไม่กระทบต่อราคาผลผลิตในประเทศ พร้อมกำหนดให้ต้องซื้อผลผลิตในประเทศให้หมดก่อน และกำหนดสัดส่วนการซื้อผลผลิตในประเทศ 3 ส่วนต่อการนำเข้า 1 ส่วน รวมถึงกำหนดราคารับซื้อผลผลิตในประเทศด้วย
สำหรับการเจรจากับสหรัฐฯเพื่อจัดทำความตกลง ART นั้น ทั้งไทยและสหรัฐฯยังคงเจรจาอย่างต่อเนื่อง และตั้งเป้าหมายจะปิดการเจรจาภายในสิ้นปีนี้ จากนั้นจะเสนอให้ครม.และรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนที่รัฐบาลไทยจะลงนามร่วมกับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อให้ ART มีผลใช้บังคับต่อไป
พร้อมย้ำว่า ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ที่ปะทุขึ้นรอบใหม่ ไม่กระทบกับการเจรจาแน่นอน “กัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงร่วมกับไทย จนทำให้ไทยสูญเสีย รัฐบาลไทยไม่สามารถยอมรับได้ สหรัฐฯควรเข้าใจข้อเท็จจริงนี้ และไม่ควรนำสถานการณ์นี้มาเป็นเหตุผลชะลอ หรือหยุดการเจรจากับไทย”
สำหรับการพิจารณาคดี “ภาษีทรัมป์” ของศาลสูงสหรัฐฯ ที่เริ่มต้นพิจารณาคดีเมื่อวันที่ 6 พ.ย.68 นั้น ยังไม่รู้ว่า คำตัดสินจะเป็นอย่างไร ทรัมป์จะเป็น “ฝ่ายแพ้” หรือ “ชนะ” ในศึกครั้งนี้
หากแพ้ รัฐบาลทรัมป์ต้อง “คืนเงินภาษีนำเข้า” ที่ศาลตัดสินว่าเก็บอย่างผิดกฎหมายให้ผู้นำเข้า ซึ่งกระทรวงการคลัง ระบุว่า ภาษีนำเข้า ทั้งที่เก็บแบบปกติ และจาก Executive Orders ช่วงเดือนก.พ.-ก.ค.68 สูงถึง 107,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
และหากทรัมป์แพ้จริง ความตกลง ART ที่สหรัฐฯบีบบังคับให้คู่ค้าทั่วโลก รวมทั้งไทยต้องเจรจาจัดทำ และลงนาม โดยผูกโยงเรื่องการเก็บภาษีตอบโต้ เข้ากับการเจรจาต่อรองการค้า การลงทุน ความมั่นคง ฯลฯ จะต้องยกเลิกไป และสิ่งที่ทรัมป์ต่อรอง ก็จะเป็นโมฆะทั้งหมด
อย่างประเทศไทย ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อข้าวโพดจากสหรัฐฯ ในปริมาณมากเช่นนั้น หรือไม่ต้องเปิดตลาดนำเข้าเนื้อหมูและเครื่องในที่มีสารเร่งเนื้อแดงแรคโตพามีน ไม่ต้องซื้อเครื่องบินจากโบอิ้งเพียงบริษัทเดียว หรือไม่ต้องซื้อพลังงานจากสหรัฐฯเพิ่มเติม เป็นต้น เว้นแต่ไทยเจรจาต่อรองไม่ได้ และต้องทำตามเหมือนเดิม
อย่างไรก็ตาม หากทรัมป์แพ้จริง เชื่อแน่ว่า จะหาหนทางอื่นๆ ภายใต้กฎหมายฉบับอื่น มาใช้เก็บภาษีคู่ค้าตามเดิม และแม้ว่า หากทรัมป์ชนะ ก็อาจออกมาตรการภาษีอื่นๆ เพิ่มเติมได้อีก
ณ วันนี้ การพิจารณาของศาลสูงสุด ไม่รู้ใช้เวลานานเพียงใด และตัดสินอย่างไร แต่ทรัมป์ คงดิ้นทุกทางที่จะเก็บภาษีคู่ค้าให้ได้ และกดดันคู่ค้าให้ซื้อสินค้าสหรัฐฯเพิ่มเติม
ทีนี้ ต้องจับตามาตรการรัฐบาลไทย จะเข้มงวดกับผู้ผลิตอาหารสัตว์ ให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขการนำเข้าอย่างจริงจังได้อย่างไร เพื่อลดผลกระทบชาวไร่ กลัวแต่ว่า จะเกิดเหตุการณ์นำเข้ามามากแล้ว ฉุดราคาผลผลิตในประเทศร่วง รัฐบาลก็จะใช้เงินภาษีประชาชนมาอุ้มเกษตรกร โดยที่ผู้นำเข้าลอยตัวเหนือปัญหาเหมือนทุกที!!