ถ้าถามถึงความมั่งคั่งของธุรกิจครอบครัว หลายคนมักมองถึงการมีธุรกิจใหญ่โต มีเงิน มีทรัพย์สินเยอะๆ แต่ถ้าจะให้ความมั่งคั่งนี้ยั่งยืน ส่งต่อสู่รุ่นถัดไป ความมั่งคั่งด้านการเงินอย่างเดียวนั้นคงไม่เพียงพอ เพราะทุกคนคงเห็นจากธุรกิจครอบครัวของคนใกล้ตัว หรือไม่ก็ตามข่าวที่เป็นครอบครัวที่มีความมั่งคั่งทางการเงินสูง แต่กลับทะเลาะจนถึงขั้นฟ้องร้องกระทบต่อชื่อเสียง เสียเงินหลักสิบหลักร้อยล้านเพราะการทะเลาะห้ำหั่นกันในชั้นศาล ที่ปลายทางมีแค่ทางออกเดียวคือกงสีแตก น่าเสียดายไม่น้อยที่ความมั่งคั่งของหลายครอบครัวที่สะสมกันมาหลายสิบปี กลับต้องมาพังเพราะ ขาดกุญแจสำคัญ ในสมการความมั่งคั่งธุรกิจครอบครัว
จากประสบการณ์การเป็นที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัวมามากกว่า 50 บริษัท ผมสามารถบอกได้เลยว่า ความมั่งคั่งของธุรกิจครอบครัว (Family Business Wealth) นั้น ไม่ได้มีแค่เรื่องของฝั่งตัวเงินเท่านั้น แต่ต้องคำนึงถึง ความมั่งคั่งด้านจิตใจ หรือฝั่งของความสัมพันธ์ ความเคารพ ความรักใคร่ปรองดองระหว่างกันภายในครอบครัว ผมชอบเรียกสิ่งนี้ว่า “จิตกงสี” ดังนั้นแล้ว ผมจะให้สมการความมั่งคั่งของธุรกิจครอบครัวไว้ว่า:
ความมั่งคั่งธุรกิจครอบครัว = ความมั่งคั่งด้านการเงิน + ความมั่งคั่งด้านจิตใจ
Family Business Wealth = Financial Wealth + Non-Financial (Emotional) Wealth
แต่การจะสร้างความมั่งคั่งธุรกิจครอบครัวให้สมดุลจะทำได้อย่างไร? เพราะปัจจุบันครอบครัวก็ใหญ่ขึ้น ต่างคนต่างสไตล์ ความต้องการหลากหลาย ไม่เหมือนแต่ก่อนที่พ่อแม่เป็นผู้ก่อตั้ง มีแค่ 2 สามีภรรยา มีลูกก็ให้ลูกเข้ามาช่วยทำงาน ถ้าลูกๆ ทะเลาะกันพ่อแม่ก็เคลียร์ “เป็นกาวใจ” ให้ได้ มีอะไรก็บอกซ้ายบอกขวา ลูกๆ ก็ “ยินดี” พ่อแม่จะจัดสรรทรัพย์สินอะไรลูกก็ “เคารพ” เป็นระบอบพ่อบอกลูก แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ในอนาคตเมื่อพ่อแม่ไม่อยู่แล้ว ระบอบพ่อบอกลูกก็จะถูกเปลี่ยนเป็นการบริหารแบบพี่น้อง เปรียบเป็นองค์คณะ (Committee) พี่น้องก็ต้องมาบริหารธุรกิจร่วมกัน ใช้เงิน ใช้ทรัพย์กงสีร่วมกัน อะไรเล่าจะเป็นกาวใจให้ทุกคนเคารพและทำงานร่วมกันได้ อย่างไร้ปัญหา...สิ่งนั้นคือ “ธรรมนูญครอบครัว”
ธรรมนูญครอบครัว หรือ Family Charter (บางแห่งเรียก Constitution) คือ “ข้อตกลงร่วมของครอบครัวในการบริหารจัดการ และวางกฎระเบียบการอยู่ร่วมกันในธุรกิจและครอบครัว เพื่อคงความเป็นเจ้าของ และส่งต่อความมั่งคั่งนี้จากรุ่นสู่รุ่น” จากความหมายที่ให้ไปจะเห็นได้ว่าการทำธรรมนูญครอบครัวนั้นไม่ใช่เรื่องของธุรกิจหรือครอบครัวอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่มันคือเรื่องของการสร้างสมดุลระหว่างสองระบบ (ธุรกิจและครอบครัว) ที่มีความต้องการที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะธุรกิจต้องการเติบโตอย่างเป็นมืออาชีพ (มั่งคั่งทางการเงิน) แต่ครอบครัวก็ต้องการความสัมพันธ์ที่รักใคร่ปรองดองกัน (มั่งคั่งทางจิตใจ) ดังนั้นแล้ว หากเปรียบธรรมนูญครอบครัวเป็นเครื่องมือในการใช้งานเชิงกลยุทธ์:
ธรรมนูญครอบครัวก็คือการสร้าง และป้องกันอนาคต ไม่ใช่แก้ไข ไม่ใช่โจมตีคนอื่น หรือไม่ใช่การแยกกงสี
ธรรมนูญครอบครัวก็คือการสื่อสารวางกฎระเบียบภายในครอบครัว (Brainstorming Process) ไม่ใช่คำสั่งจากผู้ใหญ่
ธรรมนูญครอบครัวก็คือข้อตกลงที่ต้องเชื่อมกฎหมายหลังจัดทำเสร็จ ไม่ใช่กฎหมายที่ทำเสร็จแล้วจบ
ธรรมนูญครอบครัวก็คือแนวทางต่อยอดความมั่งคั่งร่วมกันใน “ตอนนี้” ไม่ใช่พินัยกรรมที่จะไปแบ่งกันใน “อนาคต”
ธรรมนูญครอบครัวก็คือแนวทางการช่วยกันบริหารธุรกิจครอบครัวให้เติบโต ไม่ใช่เครื่องมือเจ้าสัวที่ถ้ารวยแล้วค่อยทำ
ด้วยเหตุนี้แล้ว ธรรมนูญครอบครัวจึงเป็นกลยุทธ์สำหรับธุรกิจครอบครัวที่ต้องการ “เติบโต” อย่าง “มั่งคั่ง” และ “ยั่งยืน” โดยที่ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นระดับเจ้าสัวถึงค่อยมาคิดเรื่องข้อตกลงร่วมกัน มีกิจการหนึ่งที่มีรายได้ต่อปีรวมเพียงหลักร้อยล้านแต่ก็ได้จัดธรรมนูญครอบครัวเรียบร้อยเพราะมองว่า “หากธุรกิจของเราจะเติบโต ก็ต้องมีกฎกติกามารยาท การอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ” นั้นจึงเป็นเหตุที่พวกเขาเริ่มมาตั้งกฎภายในบ้าน ซึ่งหลังจากนั้นทำให้พวกเขาสามารถบริหารธุรกิจกันได้อย่างราบรื่น และเติบโตจากร้อยล้านเป็นหลายร้อยล้านภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี หรืออีกธุรกิจหนึ่งที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ คุณพ่อคุณแม่มีลูก 5 คนและมีจำนวนคนในครอบครัวมากกว่า 40 คน มองว่าการนำเขยสะใภ้เข้ามาทำงานอย่างไร้กฎระเบียบนั้นจะทำให้เกิดความไม่พอใจภายในพี่น้อง เกิดความรู้สึกไม่แฟร์ รวมถึงกระทบต่อความน่าเชื่อถือในตลาดหลักทรัพย์ได้ จึงได้ตกลงกันทำธรรมนูญครอบครัวขึ้นเพื่อวางเป็นกฎระเบียบการเข้ามาทำงาน และนิยามการทำงานอย่างมืออาชีพภายในบ้าน ซึ่งหลังจากทำธรรมนูญครอบครัวเสร็จแล้ว ครอบครัวนี้ก็ได้เปิดกว้างให้เขยสะใภ้เข้ามาทำงานโดยมีกฎเกณฑ์ที่ครอบครัวยอมรับ และวางค่าตอบแทนที่แฟร์ระหว่างกัน
จากที่ได้เข้าใจความหมาย ประโยชน์ และกรณีตัวอย่างแล้ว คำถามสำคัญต่อไปคือ เราต้องกำหนดเรื่องไหนในธรรมนูญครอบครัวบ้าง? Framework หนึ่งที่ผมใช้ในการจัดทำธรรมนูญครอบครัวที่ชื่อว่า Family Charter Canvas (FCC) ได้นิยามองค์ประกอบหัวข้อธรรมนูญครอบครัวไว้ 9 ข้ออย่างครอบคลุม ซึ่งจะประกอบไปด้วย:
- ค่านิยมครอบครัว คือชุดความเชื่อที่ทุกคนตกลงพร้อมใจแสดงออกถึงหลักการอย่างภาคภูมิใจ ผมชอบเรียกสิ่งนี้ว่า Family Branding ในความจริงแล้วการกำหนดค่านิยมครอบครัวเป็นเหมือน “น้ำหยดแรก” ที่เมื่อหาจุดเชื่อมโยงความเชื่อของครอบครัวได้แล้ว การพูดคุยหัวข้ออื่นก็จะเชื่อมโยงกับค่านิยมครอบครัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ค่านิยมตัวอย่างที่หลายบ้านชอบพูดถึงเช่น ความรักใคร่ปรองดอง ความประหยัด ความซื่อสัตย์ หรือการอ้อนน้อมถ่อมตัว เป็นต้น
- อนาคตธุรกิจครอบครัว คือการกำหนดสถานะความเป็นไปของธุรกิจเราในอนาคต ซึ่งกำหนดกลยุทธ์ได้ทั้งการเติบโต (Growth) การมีอำนาจควบคุม (Control) หรือเพิ่มสภาพคล่อง (Liquidation) ความมั่งคั่งของครอบครัว ซึ่งอนาคตของธุรกิจครอบครัวอาจใช้กลยุทธ์แบบผสมผสานได้ ทั้งนี้ ครอบครัวจะต้องคำนึงว่าแต่ละกลยุทธ์ก็จะมีข้อควรระวังเช่นกัน นั่นคือ เมื่อเราอยาก Growth เราก็ต้องแลกเรื่องของความมั่งคั่ง / เงินครอบครัว หากเราอยาก Control ความเป็นมืออาชีพก็จะลดลง หรือถ้าเราอยากมี Liquidation การเติบโตของธุรกิจก็อาจน้อยลงเพราะกำไรธุรกิจก็จะถูกปันผลให้ครอบครัวเกือบทั้งหมด ดังนั้นเลือกให้ดี และวางสมดุลให้ถูกในบ้านของเรา
- โครงสร้างธุรกิจครอบครัว คือกรอบกำหนดสมาชิกครอบครัวที่จะอยู่ในธรรมนูญครอบครัว และกรอบของการถือหุ้นในกิจการครอบครัว ข้อตกลงนี้จะระบุว่าสมาชิกครอบครัวเราคือใคร เราจะมีสภาครอบครัวหรือไม่? รวมถึงกำหนดสายครอบครัว เช่นสายหลักคือสายเลือด และสายรองคือนอกสายเลือด (เช่น เขยสะใภ้) เป็นต้น โครงสร้างการถือหุ้นก็เป็นอีกสาระสำคัญที่ต้องระบุว่าใครมีสิทธิในการถือหุ้นในธุรกิจครอบครัวของเราได้บ้าง สายหลัก? สายรอง? หรือคนนอก? สิ่งเหล่านี้หากเราไม่ได้มีการสื่อสารและวางข้อตกลงอย่างชัดเจน ก็จะกลายเป็นบ่อเกิดของการทะเลาะ และถูกใช้เป็นเครื่องมือต่อรองอำนาจในอนาคตได้
- สิทธิ หน้าที่ คือการกำหนดบทบาท และขอบเขตของสมาชิกครอบครัวแต่ละคนอย่างชัดเจน เช่น ใครบ้างที่มีสิทธิในการถือหุ้น เป็นกรรมการ เข้าทำงาน เป็นผู้บริหาร เป็นสภาครอบครัว ได้รับสวัสดิการครอบครัว หรือรวมไปถึงสิทธิการ Vote ในแต่ละประชุมของครอบครัว โดยจะต้องกำหนดหน้าที่ว่าแต่ละคนมีหน้าที่อะไรในกงสี เช่นเข้าประชุมผู้ถือหุ้น กรรมการ ผู้บริหาร ประชุมสภาครอบครัว ประชุมกงสี หรือหน้าที่ในฐานะของการเป็นสมาชิกครอบครัวนี้ เช่น เข้าทำงานในธุรกิจครอบครัว เข้าร่วมกิจกรรมครอบครัว เป็นต้น
- สวัสดิการ และเงินครอบครัว คือข้อตกลงเรื่องของสิทธิประโยชน์ภายในครอบครัวซึ่งจะระบุไปในมิติของรายละเอียดการดูแลกัน เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียนลูกหลาน เงินเดือนของคนที่ทำงานในธุรกิจครอบครัว เป็นต้น ซึ่งจะระบุอย่างละเอียดเพื่อให้ทุกคนเข้าใจว่าครอบครัวจะดูแลกันอย่างไร และแต่ละคนต้องปันส่วนเงินของตัวเอง และลงขันกันเพื่อเป็นเงินครอบครัวจำนวนเท่าไหร่ หรือกำหนดแหล่งเงินของสวัสดิการครอบครัว เพื่อให้สวัสดิการครอบครัวเป็นเรื่องที่ทุกคนได้ช่วยเหลือกัน ไม่ใช่เรื่องของบริษัท ไม่ใช่เรื่องของพี่ใหญ่ หรือไม่ใช่เรื่องของคนใดคนหนึ่ง
- การบริหารธุรกิจครอบครัว คือการหาข้อตกลงในการทำให้กิจการของเราเป็นมืออาชีพขึ้นกว่าเดิม ลักษณะความเป็นมืออาชีพที่ควรระบุในธรรมนูญครอบครัวคือ วิธีการบริหารธุรกิจด้วยโครงสร้างกรรมการ การกำหนดค่าตอบแทน การกำหนดความคาดหวัง (KPI) ของแต่ละแผนก และนำเอา KPI นั้นกลายเป็นกลยุทธ์ภายในกลุ่มผู้บริหาร การจัดโครงสร้างอำนาจตัดสินใจ (ใคร / ตำแหน่งไหนตัดสินใจอะไร) การกำหนดบทบาท หน้าที่ของมืออาชีพ ซึ่งรวมถึงระบุว่ามืออาชีพสามารถก้าวเข้ามาในตำแหน่งไหนได้บ้างของธุรกิจครอบครัวของเร
- การสืบทอดธุรกิจครอบครัว คือการกำหนดเกณฑ์การรับช่วงต่อการเป็นผู้นำองค์กร กระบวนการส่งต่อ ซึ่งรวมถึงเกณฑ์การเกษียณของรุ่นผู้ใหญ่อีกด้วย เนื่องจากกลไกการส่งต่อกิจการมีสองมิติ กล่าวคือ ในด้านความเป็นเจ้าของ (การถือหุ้น) และด้านการบริหาร (ตำแหน่งกรรมการ และผู้บริหาร) โดยการส่งต่อจากรุ่นผู้ใหญ่มาที่รุ่นเด็กจึงสามารถมี “ลูกเล่น” ได้หลากหลาย ซึ่งในบางครอบครัวได้กำหนดว่าในด้านการบริหาร เราสามารถส่งต่อให้กับ “คนนอก” ได้ซึ่งหมายถึงพนักงาน / มืออาชีพ / ลูกหม้อ (โดยจะต้องเป็นตามเกณฑ์ที่กำหนด) แต่ในด้านความเป็นเจ้าของ ครอบครัวจะต้องถือหุ้นในสัดส่วน 100% เท่านั้น ไม่สามารถส่งต่อให้บุคคลภายนอกได้
- ทรัพย์สิน และความมั่งคั่ง คือการวางวิธีการบริหารจัดการ “ทรัพย์กงสี” ให้เป็นที่เข้าใจ ตกลงกันว่าทรัพย์สินไหนจะเป็นทรัพย์กงสีบ้าง ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งเงิน ที่ดิน รถยนต์ หลักทรัพย์อื่น บางบ้านมีแม้กระทั่งงานศิลปะสวยงาม โดยจะต้องหาข้อตกลงว่าทรัพย์สินที่มี / ไม่มีทะเบียนนั้นจะใช้กลยุทธ์การถือครอง (ถือร่วมหรือถือแยก) ซึ่งจะต้องวางจุดประสงค์ให้กับแต่ละทรัพย์กงสีอย่างชัดเจน เช่น เพื่อขาย พัฒนาเพื่อเป็นธุรกิจ ใช้เพื่อกิจกงสี หรือนำไปลงทุนเพื่อสร้างเป็น Passive Wealth ให้กับครอบครัวได้หรือไม่? ครอบครัวหนึ่งมีเงินนอกธุรกิจมากกว่า 500 ล้าน แต่ไม่มีใครกล้าแตะเพราะเป็นเงินกลางกงสี ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะหากมีข้อตกลงในการลงทุน Passive Wealth ของครอบครัวได้ ก็จะเกิดประโยชน์เป็นอย่างมาก
- กฎบ้าน คือการสร้างกรอบการอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจกัน ซึ่งจะระบุเกี่ยวกับแนวทางการสร้างความสัมพันธ์ความปรองดองที่ดีต่อกันเช่นการมีกิจกรรมครอบครัว การมี Trip กงสี บางบ้านอาจมีมูลนิธิ และใช้กิจกรรมมูลนิธินั้นผนวกเป็นกฎภายในครอบครัวเช่นกัน สิ่งที่ต้องคำนึงต่อไปคือการบริหารข้อพิพาทในครอบครัว กล่าวคือหากครอบครัวทะเลาะกันมีวิธีการระงับการทะเลาะได้อย่างไร? บางครอบครัวอาจใช้พ่อแม่ หรือคนกลางเข้ามาเป็นคนไกล่เกลี่ย ระบุเรื่อง “ข้อห้าม” ต่างๆ ที่ทุกคนต้องห้ามทำ เช่น ห้ามทำผิดกฎหมาย ห้ามเล่นการเมือง ห้ามเป็นข่าวเสื่อมเสีย เป็นต้น หรือแม้กระทั้งเรื่องของบทลงโทษ (Penalty) เมื่อสมาชิกครอบครัวทำผิด / ละเมิดธรรมนูญครอบครัว และสุดท้ายคือระยะเวลาการพิจารณาปรับปรุงธรรมนูญครอบครัวเพื่อให้กฎครอบครัวยังใช้งานได้ และเป็นปัจจุบันมากที่สุด
บทสรุปส่งท้าย
การมีธุรกิจที่มั่งคั่งด้วยเงินทองไม่ได้รับประกันความมั่งคั่งยั่งยืนตลอดไป ความมั่งคั่งที่แท้จริงของธุรกิจครอบครัวคือการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตของกิจการ ควบคู่กับการเติบโตด้านความสัมพันธ์ที่แนบแน่นภายในครอบครัวเพื่อเดินหน้าไปด้วยกัน ธรรมนูญครอบครัวจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ครอบครัวสร้างสมดุลทั้งสองด้านโดยมีทุกคนเป็นศูนย์กลางของการตั้งกฎกติการ่วมกัน และเปิดทางสู่การเติบโตที่มั่งคั่งยั่งยืน และไม่ขัดแย้งอย่างแท้จริง