ราคาข้าวต่ำสุด 20 ปี

Experts pool

Columnist

Tag

ราคาข้าวต่ำสุด 20 ปี

Date Time: 5 ก.ย. 2568 16:18 น.

Video

อย่ากลัว! วิกฤติใหญ่ยังไม่เกิด หาโอกาสลงทุน กับ กวี ชูกิจเกษม | Thairath Money Night Stand EP.21

Summary

ราคาข้าวไทยต่ำสุดรอบเกือบ 20 ปี วิบากกรรมชาวนาที่ไม่สิ้นสุด

Latest


ราคาข้าวไทยกู่ไม่กลับ!!

ล่าสุด ราคาข้าวเปลือกนาปรัง ที่เก็บเกี่ยวกันแล้วบางส่วน ชาวนาขายได้เพียงตันละประมาณ 3,500 บาท เรียกได้ว่า ราคาตกต่ำจนชาวนาแทบไม่เหลือเงินประทังชีวิต

ปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ยืนยันว่า ราคาข้าวเปลือกที่ขายได้ตันละ 3,500 บาทนั้น น่าจะ “ต่ำที่สุดในรอบเกือบ 20 ปี” เพราะเป็นข้าวเปลือกที่มีความชื้นสูง

เนื่องจากขณะนี้ ฝนตกและน้ำท่วมในหลายพื้นที่ ชาวนาจึงเร่งเก็บเกี่ยวหนีน้ำท่วม เพื่อไม่ให้ข้าวเสียหาย และชาวนาไม่ได้ตากข้าวให้แห้งก่อนขาย เพราะส่วนใหญ่ไม่มียุ้งฉางเก็บ ไม่มีลานตาก ถ้าจะตากบนถนนเหมือนสมัยก่อน ก็จะผิดกฎหมาย จึงต้องจำใจขายราคาต่ำ และขาดทุนยับเยิน

ส่วนข้าวเปลือกแห้ง ความชื้นไม่เกิน 15% ล่าสุด ตันละ 5,500-6,000 บาท ราคาร่วงลงหนักเช่นกัน จากรัฐบาลก่อนหน้า ที่มีโครงการประกันรายได้เกษตรกร รัฐบาลรับประกันราคาข้าวเปลือกเจ้าไว้ที่ตันละ 10,000 บาท ชาวนาก็ขายได้ตามราคาประกัน เมื่อมีรัฐบาลใหม่ ไม่ทำโครงการนี้แล้ว ราคาข้าวก็ไต่ระดับลงเรื่อยๆ จนเหลือประมาณ 6,000 บาท ในปัจจุบัน

ทั้งๆ ที่ชาวนาต้องแบกต้นทุนสูงถึงตันละกว่า 6,000 บาท ส่วนใหญ่เป็นค่าปุ๋ยเคมี ค่ายาปราบศัตรูพืช แทบไม่ได้ค่าแรงเลย มิหนำซ้ำผลผลิตข้าวที่ได้ก็ต่ำมากๆ ประมาณ 400 กิโลกรัม (กก.) ต่อไร่ ต่างจากประเทศอื่น เช่น เวียดนาม ที่ได้ผลผลิตต่อไร่ประมาณ 1,000 กก. หรือจีนที่ได้ต่อไร่มากถึง 1,000-1,200 กก.

ชาวนาจึงแทบไม่มีเงินเหลือ!!

และเกิดเป็นวัฏจักรซ้ำๆ คือ กู้เงินจากธนาคาร และนอกระบบ ดอกเบี้ยมหาโหด เพื่อประทังชีวิตไปวันๆ หากจะเริ่มต้นปลูกข้าวใหม่ ก็ต้องกู้เงินเพิ่มอีก พร้อมกับมีความหวังว่า เมื่อข้าวออกแล้ว จะมีเงินใช้หนี้ แต่ก็เข้าวังวนเดิม ราคาตก ขาดทุน ไม่มีเงินใช้หนี้ ต้องกู้เงินอีก วนไปแบบนี้ไม่รู้จบ

สำหรับสาเหตุที่ราคาข้าวไทยลดลงมาก “นางอารดา เฟื่องทอง” อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ บอกว่า ตั้งแต่ที่อินเดีย ผู้ผลิตและส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลก กลับมาส่งออกข้าวขาวอีกครั้งช่วงปลายเดือนก.ย.67 หลังจากห้ามส่งออกช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้มีข้าวเพียงพอบริโภคในประเทศ ก็ทำให้ผู้ส่งออกข้าวรายอื่น รวมถึงไทย ส่งออกได้น้อยลง ส่งผลให้ราคาข้าวโลก และข้าวไทยลดลงมาตลอด

เนื่องจากอินเดียมีสต๊อกข้าวจำนวนมาก จึงเร่งระบายออกในราคาต่ำ และคาดว่า ปีนี้ อินเดียจะมีผลผลิตกว่า 150 ล้านตัน และมีสต๊อกมากถึง 56 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 15% ทำให้ขายราคาต่ำมากได้

และที่สำคัญ ยังเตรียมเทขายข้าวในสต๊อกในเร็วๆ นี้อีกกว่า 20 ล้านตัน ซึ่งมีผลทำให้ราคาข้าวไทย และปากีสถานลดลงอย่างมาก เพราะขายข้าวชนิดเดียวกัน

นอกจากนี้ ผลผลิตข้าวโลกก็เพิ่มเช่นกัน มาอยู่ที่ 541 ล้านตัน เพิ่มจากปีก่อน 17 ล้านตัน ประกอบกับ ผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ อย่างอินโดนีเซีย ชะลอนำเข้า เพราะปีก่อน ได้นำเข้าจำนวนมาก และรัฐบาลฟิลิปปินส์ ระงับการนำเข้าชั่วคราว 2 เดือนจนถึงวันที่ 30 ต.ค.68 เพื่อบรรเทาผลกระทบจากราคาข้าวเปลือกตกต่ำ ซึ่งเป็นแรงกดดันต่อราคาข้าวในตลาดโลก อีกทั้งค่าเงินบาทไทยแข็งค่ามาก ทำให้ข้าวไทยราคาแพงขึ้นไปอีก

ด้วยปัจจัยเหล่านี้ ทำให้ช่วง 7 เดือน (ม.ค.-ก.ค.) ปี 68 ไทยส่งออกข้าวได้ 4.30 ล้านตัน มูลค่า 86,413 ล้านบาท หรือ 2,592 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยปริมาณ และมูลค่า ลดลง 25.09% และ 35.35% ตามลำดับ จากช่วงเดียวกันของปี 67 ที่ส่งออกได้ 5.74 ล้านตัน มูลค่า 133,663 ล้านบาท หรือ 3,739 ล้านเหรียญฯ โดยข้าวขาว แม้ส่งออกได้ 2.04 ล้านตัน แต่ลดลงมากถึง 44.72% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่ราคาข้าวไทย ล่าสุด จากเว็บไซต์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ณ วันที่ 3 ก.ย.68 ข้าวขาว 5% ตันละ 372 เหรียญสหรัฐฯ อินเดีย ตันละ 376-380 เหรียญฯ, เวียดนาม ตันละ 379-383 เหรียญฯ, ปากีสถาน 347-351 เหรียญฯ เมื่อเทียบกับเดือนก.ย.67 ข้าวขาว 5% ไทย ตันละเกือบ 600 เหรียญฯ เวียดนาม ต่ำกว่าไทยตันละ 30-40 เหรียญฯ และปากีสถาน ต่ำกว่าไทยตันละกว่า 20 เหรียญฯ

เมื่อสถานการณ์ข้าวไทย มาถึงจุดสาหัส ชาวนาจึงได้แต่เรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือมาตั้งแต่ต้นปี 68 แต่การช่วยเหลือของรัฐบาล เพิ่งมาถึงเมื่อไม่กี่วันมานี้ หลังจากรอคอยมานานนับครึ่งปี

โดยเมื่อเร็วๆ นี้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) เพิ่งเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 10 ไร่ หรือไม่เกิน 10,000 บาท สำหรับผู้ปลูกข้าวเปลือกนาปรังปี 68 และผู้ปลูกข้าวเปลือกนาปีปี 68/69 วงเงินรวม 45,204 ล้านบาท

รวมถึงมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกอีกหลายมาตรการ วงเงิน 61,697 ล้านบาท รวมงบประมาณ 106,901 ล้านบาท โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้ทยอยโอนเงินให้ชาวนาแล้ว แม้แทบไม่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของชาวนาได้เลย แต่ก็ยังดีกว่า ไม่ได้รับการช่วยเหลือใดๆ

ด้านกระทรวงพาณิชย์ จะเดินหน้าผลักดันส่งออกข้าวไทยในปีนี้ให้ได้ตามเป้าหมาย 7.5 ล้านตัน เพื่อนำรายได้เข้าสู่ประเทศ โดยจะเร่งเจรจาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) กับจีนในส่วนที่เหลืออีก 280,000 ตัน จากสัญญา 1 ล้านตัน เดินหน้าขยายตลาดข้าวขาวและข้าวนึ่งไปยังตลาดที่มีความต้องการ เช่น อิรัก ซาอุดีอาระเบีย

นอกจากนี้ จะจัดคณะเดินทางไปญี่ปุ่น เพื่อขยายตลาดและรักษาปริมาณการส่งออกข้าวไปญี่ปุ่นที่ปีละ 300,000 ตันให้ได้ ต้อนรับผู้นำเข้าข้าวจากฮ่องกง ที่จะเยือนไทยเดือนพ.ย.นี้ เพื่อให้คงนำเข้าข้าวไทย

รวมถึงส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสและขยายช่องทางตลาดของข้าวไทยไปสู่ตลาดต่างประเทศให้เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม ปราโมทย์ บอกว่า ชาวนาไม่ต้องการอะไรมาก แค่ขายข้าวได้ไม่น้อยกว่าตันละ 8,000 บาท ก็พอใจแล้ว และหากรัฐบาลต่อๆ ไป ช่วยลดต้นทุนการผลิตให้ชาวนา มีเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ตรงกับความต้องการของตลาด และให้ผลผลิตต่อไร่ 800-1,000 กก.มาแจกจ่าย ก็จะไม่ขอให้ช่วยเหลืออะไรอีกแล้ว

รัฐบาลจะตอบสนองข้อเรียกร้องของชาวนาหรือไม่ คงต้องติดตามใกล้ชิด แต่อย่างที่รู้กัน รัฐบาลที่ผ่านๆ มา ช่วยเหลือชาวนา และเกษตรกรกลุ่มอื่นๆ ก็เพื่อหวังให้เป็นฐานเสียงสำหรับการเลือกตั้งเท่านั้น

ไม่ได้มีใจคิดจะปรับปรุง พัฒนาภาคเกษตรกรรมไทย ให้ก้าวหน้า ทันสมัย และเกษตรกรหลุดพ้นกับดักความยากจนอย่างแท้จริง!!

ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้  https://www.facebook.com/ThairathMoney



Author

สิริวรรณ พงษ์ไพโรจน์

สิริวรรณ พงษ์ไพโรจน์
ข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ