“ไชยแสง สิงห์บุรี” โมเดลค้าปลีกท้องถิ่นพันล้าน อยู่รอดท่ามกลางทุนยักษ์ ด้วยกลยุทธ์ผูกชุมชน ปรับตัวไว และไม่ยอมถอย
ในยุคที่ค้าปลีกโมเดิร์นเทรดแบรนด์ใหญ่ระดับประเทศรุกขยายสาขาไปทุกจังหวัด ซึ่งสร้างผลกระทบต่อห้างค้าปลีกท้องถิ่นจนหลายแห่งต้องทยอยปิดกิจการ เรากลับได้เห็นตัวอย่างของธุรกิจท้องถิ่นบางรายที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ ด้วยการปรับตัวให้สอดรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคในแต่ละยุคอย่างมีนัยสำคัญ
หนึ่งในนั้นคือ “ห้างไชยแสง จังหวัดสิงห์บุรี” ที่ยังสามารถเติบโตและผูกพันกับชุมชนได้อย่างมั่นคง
ห้างไชยแสงเริ่มต้นเมื่อปี พ.ศ. 2508 จากร้านขายผ้าเมตรเล็ก ๆ ในนาม “ร้านใช่เส็ง” ตั้งอยู่ในตลาดสด อำเภอเมืองสิงห์บุรี ต่อมาเมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน จากการซื้อผ้าไปตัดเย็บเป็นความนิยมในเสื้อผ้าสำเร็จรูป เจ้าของร้านรุ่นแรกจึงตัดสินใจขยับขยายธุรกิจ จนกลายเป็นห้างสรรพสินค้าเต็มรูปแบบแห่งแรกของจังหวัดในปี พ.ศ. 2533 ในนาม “ไชยแสง ดีพาร์ทเมนท์สโตร์”
ปัจจุบัน “ไชยแสง” ไม่ได้เป็นเพียงห้างค้าปลีกอีกหนึ่งแห่ง แต่เป็นศูนย์ค้าปลีกครบวงจร ประกอบด้วย ไชยแสง ดีพาร์ทเมนท์สโตร์, ไชยแสง ซูเปอร์สโตร์ (ทั้งค้าปลีกและค้าส่ง), CS Park (ศูนย์รวมร้านอาหารและความบันเทิงครบครัน) บนพื้นที่รวมกว่า 50 ไร่ รองรับลูกค้าได้วันละกว่า 4,500 คน พร้อมโครงการ “คุ้มจริง by ไชยแสง” ที่ร่วมมือกับร้านโชห่วยท้องถิ่นและร้านค้าในจังหวัดใกล้เคียงรวม 25 ราย โดยมียอดขายรวมทั้งกลุ่มทะลุหลักพันล้านบาทต่อปี
แม้ต้องแข่งขันกับห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่อย่างโลตัส แม็คโคร และท็อปส์ ซึ่งส่วนใหญ่มักตั้งอยู่ริมถนนสายเอเชียบริเวณนอกเมือง แต่ไชยแสงกลับได้เปรียบจากการอยู่ใจกลางเมือง ใกล้ศูนย์ราชการ โรงพยาบาล และสถานศึกษา ทำให้กลายเป็นจุดหมายหลักของคนในพื้นที่ ด้วยจุดขายคือความเป็น “ศูนย์รวมความสุข” บริการทันสมัย ราคาจับต้องได้ และความผูกพันที่แน่นแฟ้นกับชุมชน
ในขณะที่แบรนด์ใหญ่แม้จะมีแผนโลจิสติกส์ชัดเจน แต่ก็ยังไม่สามารถเจาะตลาดท้องถิ่นได้ลึกนัก และบางแบรนด์ถึงกับต้องถอนตัวจากพื้นที่และมาเปิดช็อปที่ไชยแสงแทน
“โชว์สิริ ตรีชัยรัศมี” และ “เอกภูมิ ตรีชัยรัศมี” สองพี่น้องทายาทรุ่นที่สองของไชยแสง เล่าให้ฟังถึงการเติบโตของธุรกิจ แม้จังหวัดสิงห์บุรีจะเป็นจังหวัดเล็ก แต่ลูกค้ากลับเดินทางมาจากจังหวัดใกล้เคียงอย่างลพบุรี อ่างทอง ชัยนาท และนครสวรรค์ได้อย่างสะดวกสบาย
หนึ่งในปัจจัยความสำเร็จคือ การผสานกลยุทธ์ค้าปลีกสมัยใหม่กับความเข้าใจบริบทท้องถิ่น โดยเฉพาะการเปิดธุรกิจซูเปอร์สโตร์ที่จำหน่ายสินค้าคอนซูเมอร์จำเป็นต่อการครองชีพ และโครงการอย่าง CS Market ซึ่งเปิดตัวในปี 2567 คือตัวอย่างสำคัญของการสร้างพื้นที่ร้านอาหารและแบรนด์แฟรนไชส์ บนพื้นที่ 2,000 ตารางเมตร พร้อมจัดกิจกรรมตลอดทั้งปี ทั้งคอนเสิร์ต การประกวดร้องเพลง และตลาดกลางคืน
นอกจากนั้น ไชยแสงยังขยายไปสู่ธุรกิจบริการ โดยเปิดโรงแรม 2 แห่ง ได้แก่ “โรงแรมไชยแสงพาเลส” ซึ่งมีห้องพักและห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ และ “ไชยแสงวิลล่า” โรงแรม 7 ชั้นพร้อมร้านอาหาร กลายเป็นจุดพักหลักของนักท่องเที่ยวที่เดินทางผ่านตัวเมือง
ปี 2567 ถือเป็นอีกหนึ่งบททดสอบสำคัญของค้าปลีกกับปัญหากำลังซื้อที่หดตัว หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูง และการสิ้นสุดของมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ ซึ่งล้วนส่งผลให้ยอดขายชะลอลง
“โชว์สิริ” ยอมรับว่า “ปีที่แล้วว่าแย่แล้ว ปีนี้แย่กว่าอีก” โดยยอดขายเฉลี่ยต่อบิลในไชยแสง ซูเปอร์สโตร์ ลดลงจาก 1,500 บาท เหลือ 1,300 บาท ความถี่ในการซื้อของลูกค้าก็ลดลงจากเดือนละ 3 ครั้ง เหลือ 2 ครั้งต่อเดือน และคาดว่ายอดขายรวมปีนี้จะลดลงประมาณ 10% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ไชยแสงไม่เลือกที่จะลดคุณภาพ แต่ใช้กลยุทธ์ “ปรับเล็ก แต่ลึก” ทั้งจัดโปรโมชั่นเข้าถึงได้ เช่น เทศกาลทุเรียนราคาประหยัด การใช้พื้นที่สำหรับกิจกรรม CSR สนับสนุนโรงพยาบาล การลดค่าเช่าช่วยผู้ประกอบการรายย่อยในห้าง และการขยายช่องทางขายผ่าน Shopee รวมถึงการไลฟ์สดขายสินค้า
ในด้านการบริหาร “ไชยแสง” ยังคงใช้โมเดลผสมผสานระหว่างแนวคิดของคนรุ่นใหม่และประสบการณ์ของผู้ก่อตั้ง โดยทายาททั้งสองร่วมกันบริหารธุรกิจ ปรับโครงสร้าง และพัฒนาทีมงานอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ล้มระบบเดิม แต่ค่อย ๆ ปรับแนวคิดให้สอดคล้องกับความต้องการของคนในพื้นที่
พร้อมกันนี้ ยังวางแผนเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ภายใน 5 ปี เพื่อระดมทุนขยายธุรกิจในรูปแบบ “ไชยแสง ซูเปอร์สโตร์” ไปยังจังหวัดลพบุรีและชัยนาท ซึ่งมีศักยภาพและฐานลูกค้าใกล้เคียง โดยมีที่ดินรองรับแผนไว้เรียบร้อยแล้ว
“ไชยแสง สิงห์บุรี” จึงไม่ใช่แค่ธุรกิจครอบครัวที่อยู่รอดในจังหวัดเล็ก ๆ แต่กลายเป็นโมเดลของ Local Modern Retail ที่สามารถผสมผสานความเข้าใจในพื้นที่เข้ากับระบบการจัดการแบบมืออาชีพได้อย่างลงตัว
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -
https://www.facebook.com/ThairathMoney