ปี 2025 เป็นจุดเปลี่ยนของการใช้ AI ในภาครัฐ ที่หน่วยงานทั่วโลกเริ่มใช้ AI แก้ปัญหาหลักของภาครัฐ เช่น การตัดสินใจล่าช้า ขาดความโปร่งใส และจัดการความเสี่ยงไม่มีประสิทธิภาพ โดยมี 5 แนวทางหลักที่ให้ผลลัพธ์เป็นรูปธรรม: 1) ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ ที่การไฟฟ้าไทยใช้ลดไฟฟ้าดับ 40% 2) การจัดการเอกสารด้วย OCR ที่เปลี่ยนการพิมพ์ข้อมูลมือ 8 ชั่วโมงให้เหลือเพียง 15 นาที 3) ความโปร่งใสด้วย AI ที่สิงคโปร์ลดข้อร้องเรียนการจัดซื้อจัดจ้าง 67% 4) การแปลงเสียงเป็นข้อความ ที่ศูนย์บริการ 111 สหราชอาณาจักรลดเวลารอคอย 40% และ 5) การบังคับใช้นโยบายอัตโนมัติ ที่แคลิฟอร์เนียประหยัดน้ำได้เท่าครัวเรือน 20,000 หลัง ภาคส่วนที่เริ่มต้นก่อนจะได้เปรียบในการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน โดยควรเริ่มจากโครงการนำร่องที่เห็นผลเร็ว เช่น OCR หรือ Chatbot เพื่อสร้าง Quick Win ก่อนขยายสู่ระบบที่ซับซ้อนขึ้น
การนำ AI เข้ามาใช้บริหารจัดการภาครัฐกำลังเป็นกระแสหลักทั่วโลก โดยเฉพาะในปี 2025 หน่วยงานรัฐต่าง ๆ เริ่มตระหนักถึงศักยภาพของ AI Governance เพื่อแก้ไข pain points สำคัญ เช่น การตัดสินใจที่ล่าช้า การขาดความโปร่งใสด้านการบริหาร และการจัดการความเสี่ยงที่ไม่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้จากการศึกษาในยุโรปพบว่า มีการใช้งาน AI ในภาครัฐมากถึง 230 กรณี โดย 57% ใช้งานในรัฐบาลกลาง และ 33% [1] อยู่ในบริการสาธารณะ ดังนั้น การนำ AI มาใช้จึงไม่เพียงแต่ความเร็วและความแม่นยำด้านการตัดสินใจ แต่ยังช่วยเพิ่มความพึงพอใจและอำนวยความสะดวกให้ประชาชนมากยิ่งขึ้น
ปี 2025 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการนำ AI มาใช้ในภาครัฐ โดยเฉพาะหลังจากการประชุม Paris AI Action Summit เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ผู้นำระดับโลกร่วมกันกำหนดทิศทางการใช้ AI ด้วยความรับผิดชอบ โดยแนวโน้มสำคัญที่เกิดขึ้นคือการให้ความสำคัญกับ Risk-based AI Classification, Transparency และ Human oversight ซึ่งสอดคล้องกับ EU AI Act ที่มีผลบังคับใช้แล้ว
จะเห็นได้ว่าหน่วยงานรัฐทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายกับการปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล เพื่อให้อยู่รอด รัฐเองจำต้องเร่งสร้างสมดุลระหว่างการใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และรักษามาตรฐานด้านจริยธรรมและความปลอดภัย ดังนั้น การลงทุนในด้าน AI Governance จึงไม่ใช่แค่การติดตั้งเทคโนโลยี แต่เป็นการปรับโครงสร้างข้าราชการและกระบวนการทำงานอย่างรอบของรัฐแบบองค์รวม
1. Decision Support Systems ขับเคลื่อนด้วย AI
การนำ AI เข้ามาช่วยสนับสนุนการตัดสินใจเป็น Practice ที่ส่งผลกระทบสูง โดย AI จะช่วยวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ ด้วยการสร้าง Predictive Analytics และจำลองสถานการณ์ Real-time ให้ภาครัฐคาดการณ์และเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาต่าง ๆ ได้ล่วงหน้า ทั้งยังช่วยแก้ปัญหาการตัดสินใจที่ล่าช้าและขาดข้อมูลสนับสนุน โดยเฉพาะการวางแผนนโยบายเศรษฐกิจ การจัดสรรงบประมาณ และการบริหารจัดการวิกฤต การวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ช่วยให้การตัดสินใจด้านนโยบายมีความแม่นยำและทันเวลามากขึ้น
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ประเทศไทย ให้ AI คาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าและการบำรุงรักษาเครื่องจักรล่วงหน้า ลดไฟฟ้าดับฉุกเฉินลง 40% และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าขึ้น 18%
กระทรวงคมนาคม สหราชอาณาจักร ใช้ AI คาดการณ์การจราจรและบำรุงรักษาถนน ลดอุบัติเหตุลง 25% และประหยัดงบประมาณบำรุงรักษา 20%
2. Automated Policy Creation and Enforcement-AI สร้างและบังคับใช้นโยบายได้อัตโนมัติ
AI สามารถวิเคราะห์กฎระเบียบที่ซับซ้อนและติดตามการปฏิบัติตามนโยบายแบบ Real-time ตัวอย่างที่เช่น “สาธารณสุข” ให้ AI ช่วยวิเคราะห์กฎหมายสุขภาพที่เปลี่ยนแปลงและปรับปรุงนโยบายความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้ป่วยให้สอดคล้องกับมาตรฐาน HIPAA - กฎหมายเรื่องการย้ายและการตรวจสอบความรับผิดชอบของการประกันอย่างต่อเนื่อง ลดภาระงานด้านการบริหารและเพิ่มความแม่นยำการบังคับใช้กฎระเบียบ โดยเฉพาะในภาครัฐที่ต้องจัดการกับกฎหมายและระเบียบที่เปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง
รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ ใช้ AI ตรวจจับการใช้น้ำผิดกฎหมายผ่านภาพดาวเทียม ลดการใช้น้ำฤดูแล้งได้ 3% ภายใน 3 เดือน เทียบเท่าการประหยัดน้ำทั้งปีของครัวเรือน 20,000 หลัง
3. AI-driven Transparency and Accountability การทำงานที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ด้วย AI
AI ช่วยสร้างความโปร่งใสและช่วยการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐตรวจสอบได้ง่ายขึ้น ด้วยการติดตามและวิเคราะห์การทำธุรกรรม กิจกรรม รวมถึงกระบวนการการทำงานและการตัดสินใจ เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นไปตามระเบียบและกฎหมายที่กำหนด ปัจจุบันหน่วยงานรัฐหลายประเทศใช้ AI ตรวจสอบกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างสาธารณะ โดยระบบจะติดตามธุรกรรมและแจ้งเตือนเมื่อมีความผิดปกติ ดังนั้น การนำ Practice นี้มาใช้ในไทยจะช่วยลดการทุจริตคอร์รัปชัน เพิ่มความเชื่อมั่นของประชาชน และสร้าง Audit Trail ที่ตรวจสอบได้
สิงคโปร์ ใช้ AI Audit Tracker ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างสาธารณะ ลดข้อร้องเรียนความไม่โปร่งใสลง 67% ภายใน 2 ปี
4. Optical Character Recognition (OCR) เพื่อการจัดการเอกสารอย่างมีประสิทธิภาพ
AI แปลงเอกสารกระดาษและไฟล์ภาพที่เต็มไปด้วยข้อมูลจำนวนมาก ให้เป็นข้อมูลดิจิทัลที่ค้นหาและวิเคราะห์ได้รวดเร็วและแม่นยำ ซึ่งเทคโนโลยี AI ตัวนี้จะช่วยให้ภาครัฐลดภาระงาน ด้านการจัดเก็บและค้นหาเอกสาร ลดความผิดพลาดจากการป้อนข้อมูลด้วยมือ และเพิ่มความรวดเร็วในการให้บริการประชาชน โดยปัจจุบันนี้เริ่มมี OCR ที่พัฒนาขึ้นสำหรับภาษาไทยแบบเฉพาะทางที่หลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การอ่านข้อมูลเอกสารราชการตามแต่ละหน่วยงานรัฐ การอ่านตัวหนังสือโบราณหรือเอกสารที่มีคุณภาพต่ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนมีระบบเชื่อมต่อ API กับระบบงานราชการได้ง่าย
กรมสรรพากรสหรัฐฯ ใช้ระบบ IDP (Intelligent Document Processing) ประมวลผลแบบฟอร์มภาษี 230 ล้านฉบับ/ปี ลดเวลาดำเนินการจาก 42 วันเหลือ 3 วัน
5. Automatic Speech Recognition (ASR/Speech-to-Text) ให้ประชาชนเข้าถึงบริการง่ายและรวดเร็ว
เทคโนโลยี AI นี้จะเข้ามาช่วยแปลงเสียงพูดเป็นข้อความแบบเรียลไทม์ ทำให้หน่วยงานรัฐรับเรื่องร้องเรียน และตอบคำถามประชาชนได้รวดเร็วและแม่นยำ โดยเฉพาะในระบบโทรศัพท์สายด่วนหรือศูนย์บริการข้อมูล ทั้งนี้ยังช่วยให้การบริการประชาชนเกิดความต่อเนื่อง ตลอด 24 ชั่วโมง ลดเวลารอคอย และเพิ่มความพึงพอใจของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุและผู้พิการที่ต้องการความช่วยเหลือผ่านช่องทางเสียง
ศูนย์บริการสายด่วน 111 ของสหราชอาณาจักร ใช้ Speech-to-Text ประมวลผลคำร้องขอทางโทรศัพท์ได้รวดเร็วขึ้น ลดเวลารอคอยลง 40% เพิ่มอัตราการตอบสนองอัตโนมัติสูงถึง 70% ของจำนวนสายทั้งหมด
กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ประเทศไทย ใช้ Speech-to-Text ช่วยงานด้านสืบสวนและสอบสวน ลดเวลาการทำงานและความซ้ำซ้อน เช่น งานรายงานในศาล การสั่งการระบบนักบินอัตโนมัติ และระบบตอบรับอัตโนมัติ (IVR)
ภาครัฐอาจพิจารณาใช้เทคโนโลยี OCR หรือ ASR/Speech-to-Text ภาษาไทยที่มีความแม่นยำสูงกว่า 90% อย่าง WordSense by Looloo Technology ซึ่งโดดเด่นด้วยการประมวลผล AI ภาษาไทยแบบครบวงจร มาพร้อมสองเทคโนโลยีหลักที่จะเปลี่ยนวิธีการทำงานของคุณ ได้แก่ ระบบแปลงเอกสารเป็นข้อความดิจิทัล (OCR) รองรับทั้งตัวอักษรพิมพ์และลายมือเขียนจากไฟล์หลากหลายรูปแบบ และเทคโนโลยีแปลงเสียงพูดเป็นข้อความ (Speech-to-Text) ที่มาพร้อมระบบ AI ตรวจสอบคุณภาพ QA/QC และฟีเจอร์แนะนำสคริปต์อัจฉริยะ ช่วยปรับปรุงกระบวนการทำงาน ลดความซับซ้อนการจัดการไฟล์ ทำงานเสร็จได้ภายในไม่กี่นาที
ทั้งสองเทคโนโลยีของ WordSense มอบความแม่นยำสูงเกิน 90% ซึ่งถือเป็นมาตรฐานชั้นนำของประเทศ ที่สำคัญโมเดล AI ของเราเรียนรู้และปรับปรุงตัวเองอย่างต่อเนื่อง ยิ่งใช้งานมากขึ้น ยิ่งให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำมากขึ้น
ความสำเร็จของการ Transform ดิจิทัลด้วย AI ขึ้นอยู่กับการมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน การลงทุนในคน และการสร้างวัฒนธรรมในหน่วยงานรัฐที่เปิดรับการเปลี่ยนแปลง ภาคส่วนไหนที่เริ่มต้นก่อนจะได้เปรียบ สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพสูงสุด
ทั้ง 5 แนวทางนี้แสดงให้เห็นว่า AI ไม่ใช่เพียงเครื่องมือทางเทคนิค แต่เป็นกลไกขับเคลื่อนการปฏิรูปภาครัฐอย่างยั่งยืน ส่วนราชการที่เริ่มต้นควรเลือกโครงการนำร่องที่เห็นผลเร็ว เช่น การใช้ OCR ลดกระดาษ หรือ Chatbot สำหรับตอบคำถามพื้นฐาน เพื่อสร้าง Quick Win ก่อนขยายสู่ระบบที่ซับซ้อนขึ้น การผสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชนจะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ เพื่อสร้าง Smart Government ที่แท้จริง