5 แนวทาง ที่พิสูจน์แล้วว่า AI ทำให้รัฐบาล ทันสมัย โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ

Experts pool

Columnist

Tag

5 แนวทาง ที่พิสูจน์แล้วว่า AI ทำให้รัฐบาล ทันสมัย โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ

Date Time: 8 มิ.ย. 2568 10:00 น.

Video

JAI x World จากไอเดียสู่การสร้างสรรค์พื้นที่แห่งนวัตกรรมระดับโลก

Summary

ปี 2025 เป็นจุดเปลี่ยนของการใช้ AI ในภาครัฐ ที่หน่วยงานทั่วโลกเริ่มใช้ AI แก้ปัญหาหลักของภาครัฐ เช่น การตัดสินใจล่าช้า ขาดความโปร่งใส และจัดการความเสี่ยงไม่มีประสิทธิภาพ โดยมี 5 แนวทางหลักที่ให้ผลลัพธ์เป็นรูปธรรม: 1) ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ ที่การไฟฟ้าไทยใช้ลดไฟฟ้าดับ 40% 2) การจัดการเอกสารด้วย OCR ที่เปลี่ยนการพิมพ์ข้อมูลมือ 8 ชั่วโมงให้เหลือเพียง 15 นาที 3) ความโปร่งใสด้วย AI ที่สิงคโปร์ลดข้อร้องเรียนการจัดซื้อจัดจ้าง 67% 4) การแปลงเสียงเป็นข้อความ ที่ศูนย์บริการ 111 สหราชอาณาจักรลดเวลารอคอย 40% และ 5) การบังคับใช้นโยบายอัตโนมัติ ที่แคลิฟอร์เนียประหยัดน้ำได้เท่าครัวเรือน 20,000 หลัง ภาคส่วนที่เริ่มต้นก่อนจะได้เปรียบในการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน โดยควรเริ่มจากโครงการนำร่องที่เห็นผลเร็ว เช่น OCR หรือ Chatbot เพื่อสร้าง Quick Win ก่อนขยายสู่ระบบที่ซับซ้อนขึ้น

Latest


การนำ AI เข้ามาใช้บริหารจัดการภาครัฐกำลังเป็นกระแสหลักทั่วโลก โดยเฉพาะในปี 2025 หน่วยงานรัฐต่าง ๆ เริ่มตระหนักถึงศักยภาพของ AI Governance เพื่อแก้ไข pain points สำคัญ เช่น การตัดสินใจที่ล่าช้า การขาดความโปร่งใสด้านการบริหาร และการจัดการความเสี่ยงที่ไม่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้จากการศึกษาในยุโรปพบว่า มีการใช้งาน AI ในภาครัฐมากถึง 230 กรณี โดย 57% ใช้งานในรัฐบาลกลาง และ 33% [1] อยู่ในบริการสาธารณะ ดังนั้น การนำ AI มาใช้จึงไม่เพียงแต่ความเร็วและความแม่นยำด้านการตัดสินใจ แต่ยังช่วยเพิ่มความพึงพอใจและอำนวยความสะดวกให้ประชาชนมากยิ่งขึ้น

แนวโน้ม AI Governance ปี 2025: ยุคของการปฏิวัติดิจิทัล

ปี 2025 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการนำ AI มาใช้ในภาครัฐ โดยเฉพาะหลังจากการประชุม Paris AI Action Summit เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ผู้นำระดับโลกร่วมกันกำหนดทิศทางการใช้ AI ด้วยความรับผิดชอบ โดยแนวโน้มสำคัญที่เกิดขึ้นคือการให้ความสำคัญกับ Risk-based AI Classification, Transparency และ Human oversight ซึ่งสอดคล้องกับ EU AI Act ที่มีผลบังคับใช้แล้ว 

5 Best Practices สำหรับ AI Governance ที่เปลี่ยนโฉมหน้าภาครัฐ

จะเห็นได้ว่าหน่วยงานรัฐทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายกับการปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล เพื่อให้อยู่รอด รัฐเองจำต้องเร่งสร้างสมดุลระหว่างการใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และรักษามาตรฐานด้านจริยธรรมและความปลอดภัย ดังนั้น การลงทุนในด้าน AI Governance จึงไม่ใช่แค่การติดตั้งเทคโนโลยี แต่เป็นการปรับโครงสร้างข้าราชการและกระบวนการทำงานอย่างรอบของรัฐแบบองค์รวม

1. Decision Support Systems ขับเคลื่อนด้วย AI

การนำ AI เข้ามาช่วยสนับสนุนการตัดสินใจเป็น Practice ที่ส่งผลกระทบสูง โดย AI จะช่วยวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ ด้วยการสร้าง Predictive Analytics และจำลองสถานการณ์ Real-time ให้ภาครัฐคาดการณ์และเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาต่าง ๆ ได้ล่วงหน้า ทั้งยังช่วยแก้ปัญหาการตัดสินใจที่ล่าช้าและขาดข้อมูลสนับสนุน โดยเฉพาะการวางแผนนโยบายเศรษฐกิจ การจัดสรรงบประมาณ และการบริหารจัดการวิกฤต การวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ช่วยให้การตัดสินใจด้านนโยบายมีความแม่นยำและทันเวลามากขึ้น

การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ประเทศไทย ให้ AI คาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าและการบำรุงรักษาเครื่องจักรล่วงหน้า ลดไฟฟ้าดับฉุกเฉินลง 40% และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าขึ้น 18%
กระทรวงคมนาคม สหราชอาณาจักร ใช้ AI คาดการณ์การจราจรและบำรุงรักษาถนน ลดอุบัติเหตุลง 25% และประหยัดงบประมาณบำรุงรักษา 20% 

2. Automated Policy Creation and Enforcement-AI สร้างและบังคับใช้นโยบายได้อัตโนมัติ

AI สามารถวิเคราะห์กฎระเบียบที่ซับซ้อนและติดตามการปฏิบัติตามนโยบายแบบ Real-time ตัวอย่างที่เช่น “สาธารณสุข” ให้ AI ช่วยวิเคราะห์กฎหมายสุขภาพที่เปลี่ยนแปลงและปรับปรุงนโยบายความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้ป่วยให้สอดคล้องกับมาตรฐาน HIPAA - กฎหมายเรื่องการย้ายและการตรวจสอบความรับผิดชอบของการประกันอย่างต่อเนื่อง ลดภาระงานด้านการบริหารและเพิ่มความแม่นยำการบังคับใช้กฎระเบียบ โดยเฉพาะในภาครัฐที่ต้องจัดการกับกฎหมายและระเบียบที่เปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง

รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ ใช้ AI ตรวจจับการใช้น้ำผิดกฎหมายผ่านภาพดาวเทียม ลดการใช้น้ำฤดูแล้งได้ 3% ภายใน 3 เดือน เทียบเท่าการประหยัดน้ำทั้งปีของครัวเรือน 20,000 หลัง 

3. AI-driven Transparency and Accountability การทำงานที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ด้วย AI

AI ช่วยสร้างความโปร่งใสและช่วยการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐตรวจสอบได้ง่ายขึ้น ด้วยการติดตามและวิเคราะห์การทำธุรกรรม กิจกรรม รวมถึงกระบวนการการทำงานและการตัดสินใจ เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นไปตามระเบียบและกฎหมายที่กำหนด ปัจจุบันหน่วยงานรัฐหลายประเทศใช้ AI ตรวจสอบกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างสาธารณะ โดยระบบจะติดตามธุรกรรมและแจ้งเตือนเมื่อมีความผิดปกติ ดังนั้น การนำ Practice นี้มาใช้ในไทยจะช่วยลดการทุจริตคอร์รัปชัน เพิ่มความเชื่อมั่นของประชาชน และสร้าง Audit Trail ที่ตรวจสอบได้

สิงคโปร์ ใช้ AI Audit Tracker ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างสาธารณะ ลดข้อร้องเรียนความไม่โปร่งใสลง 67% ภายใน 2 ปี 

4. Optical Character Recognition (OCR) เพื่อการจัดการเอกสารอย่างมีประสิทธิภาพ

AI แปลงเอกสารกระดาษและไฟล์ภาพที่เต็มไปด้วยข้อมูลจำนวนมาก ให้เป็นข้อมูลดิจิทัลที่ค้นหาและวิเคราะห์ได้รวดเร็วและแม่นยำ ซึ่งเทคโนโลยี AI ตัวนี้จะช่วยให้ภาครัฐลดภาระงาน ด้านการจัดเก็บและค้นหาเอกสาร ลดความผิดพลาดจากการป้อนข้อมูลด้วยมือ และเพิ่มความรวดเร็วในการให้บริการประชาชน โดยปัจจุบันนี้เริ่มมี OCR ที่พัฒนาขึ้นสำหรับภาษาไทยแบบเฉพาะทางที่หลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การอ่านข้อมูลเอกสารราชการตามแต่ละหน่วยงานรัฐ การอ่านตัวหนังสือโบราณหรือเอกสารที่มีคุณภาพต่ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนมีระบบเชื่อมต่อ API กับระบบงานราชการได้ง่าย

กรมสรรพากรสหรัฐฯ ใช้ระบบ IDP (Intelligent Document Processing) ประมวลผลแบบฟอร์มภาษี 230 ล้านฉบับ/ปี ลดเวลาดำเนินการจาก 42 วันเหลือ 3 วัน 

5. Automatic Speech Recognition (ASR/Speech-to-Text) ให้ประชาชนเข้าถึงบริการง่ายและรวดเร็ว

เทคโนโลยี AI นี้จะเข้ามาช่วยแปลงเสียงพูดเป็นข้อความแบบเรียลไทม์ ทำให้หน่วยงานรัฐรับเรื่องร้องเรียน และตอบคำถามประชาชนได้รวดเร็วและแม่นยำ โดยเฉพาะในระบบโทรศัพท์สายด่วนหรือศูนย์บริการข้อมูล ทั้งนี้ยังช่วยให้การบริการประชาชนเกิดความต่อเนื่อง ตลอด 24 ชั่วโมง ลดเวลารอคอย และเพิ่มความพึงพอใจของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุและผู้พิการที่ต้องการความช่วยเหลือผ่านช่องทางเสียง

ศูนย์บริการสายด่วน 111 ของสหราชอาณาจักร ใช้ Speech-to-Text ประมวลผลคำร้องขอทางโทรศัพท์ได้รวดเร็วขึ้น ลดเวลารอคอยลง 40% เพิ่มอัตราการตอบสนองอัตโนมัติสูงถึง 70% ของจำนวนสายทั้งหมด 

กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ประเทศไทย ใช้ Speech-to-Text ช่วยงานด้านสืบสวนและสอบสวน ลดเวลาการทำงานและความซ้ำซ้อน เช่น งานรายงานในศาล การสั่งการระบบนักบินอัตโนมัติ และระบบตอบรับอัตโนมัติ (IVR) 

ภาครัฐอาจพิจารณาใช้เทคโนโลยี OCR หรือ ASR/Speech-to-Text ภาษาไทยที่มีความแม่นยำสูงกว่า 90% อย่าง WordSense by Looloo Technology ซึ่งโดดเด่นด้วยการประมวลผล AI ภาษาไทยแบบครบวงจร มาพร้อมสองเทคโนโลยีหลักที่จะเปลี่ยนวิธีการทำงานของคุณ ได้แก่ ระบบแปลงเอกสารเป็นข้อความดิจิทัล (OCR) รองรับทั้งตัวอักษรพิมพ์และลายมือเขียนจากไฟล์หลากหลายรูปแบบ และเทคโนโลยีแปลงเสียงพูดเป็นข้อความ (Speech-to-Text) ที่มาพร้อมระบบ AI ตรวจสอบคุณภาพ QA/QC และฟีเจอร์แนะนำสคริปต์อัจฉริยะ ช่วยปรับปรุงกระบวนการทำงาน ลดความซับซ้อนการจัดการไฟล์ ทำงานเสร็จได้ภายในไม่กี่นาที 

ทั้งสองเทคโนโลยีของ WordSense มอบความแม่นยำสูงเกิน 90% ซึ่งถือเป็นมาตรฐานชั้นนำของประเทศ ที่สำคัญโมเดล AI ของเราเรียนรู้และปรับปรุงตัวเองอย่างต่อเนื่อง ยิ่งใช้งานมากขึ้น ยิ่งให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำมากขึ้น 

AI Governance ไม่ใช่เทรนด์แต่คือความจำเป็นของภาครัฐ

ความสำเร็จของการ Transform ดิจิทัลด้วย AI ขึ้นอยู่กับการมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน การลงทุนในคน และการสร้างวัฒนธรรมในหน่วยงานรัฐที่เปิดรับการเปลี่ยนแปลง ภาคส่วนไหนที่เริ่มต้นก่อนจะได้เปรียบ สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพสูงสุด

ทั้ง 5 แนวทางนี้แสดงให้เห็นว่า AI ไม่ใช่เพียงเครื่องมือทางเทคนิค แต่เป็นกลไกขับเคลื่อนการปฏิรูปภาครัฐอย่างยั่งยืน ส่วนราชการที่เริ่มต้นควรเลือกโครงการนำร่องที่เห็นผลเร็ว เช่น การใช้ OCR ลดกระดาษ หรือ Chatbot สำหรับตอบคำถามพื้นฐาน เพื่อสร้าง Quick Win ก่อนขยายสู่ระบบที่ซับซ้อนขึ้น การผสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชนจะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ เพื่อสร้าง Smart Government ที่แท้จริง


Author

สหพัฒณ์ ล้ำสมบัติ

สหพัฒณ์ ล้ำสมบัติ
CEO บริษัท เวิร์ดเซนส์ จำกัด บริษัทในเครือ Looloo Technology ที่มีความเชี่ยวชาญด้าน OCR โดยเฉพาะ OCR Handwriting แปลงลายมือภาษาไทยเป็นข้อความดิจิทัล