กลยุทธ์จีนตั้งรับสงครามการค้า ความได้เปรียบจากความพร้อม

Experts pool

Columnist

Tag

กลยุทธ์จีนตั้งรับสงครามการค้า ความได้เปรียบจากความพร้อม

Date Time: 3 มิ.ย. 2568 10:25 น.

Video

สหรัฐฯ เสี่ยงเบี้ยวหนี้ ? ผลประชุม FED จะมีเซอร์ไพรส์ ? | Thairath Money Night Stand EP.4

Summary

จีนเดินเข้าสมรภูมิสงครามการค้ารอบใหม่นี้ด้วยกลยุทธ์ที่รอบคอบ เน้นจุดแข็งในการวางแผนระยะยาว การควบคุมเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และการขยายพันธมิตร แม้ว่าข้อตกลงลดอัตราภาษีตอบโต้ชั่วคราวจะดูเหมือนจีนเสียเปรียบ ยอมให้สหรัฐฯ เก็บอัตราภาษีสูงกว่า แต่จีนมีกลยุทธ์สร้างความพร้อมรองรับการแยกตัวจากสหรัฐฯ ไว้แล้ว

Latest


การประกาศภาษีศุลกากรตอบโต้ของประธานาธิบดีทรัมป์กับนานาประเทศนับว่าเป็นประเด็นร้อนของเศรษฐกิจโลกในปี 2568 โดยเฉพาะวิธีการตอบโต้ของประเทศเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลกอย่างจีน ในสงครามการค้ารอบทรัมป์ 2.0 สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้จีนสูงสุด 145% ขณะที่จีนตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยอัตราภาษีสูงสุด 125% แม้ระดับการตอบโต้ของทั้งสองฝ่ายจะรุนแรงกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ แต่อาจไม่ได้เหนือความคาดหมายของจีน ซึ่งมองว่าทรัมป์อาจอยากกลับมาเปลี่ยนกติกาการค้าโลก จึงได้เตรียมความพร้อมในการรับมือเพื่อช่วยไม่ให้เจ็บตัวมากนักในสงครามการค้ารอบใหม่

สหรัฐฯ-จีน ตกลงกันได้ในการเจรจารอบแรก แต่ใครเป็นฝ่ายชนะ?

สหรัฐฯ และจีนบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นในการลดภาษีนำเข้าระหว่างกันเป็นเวลา 90 วัน (มีผล 14 พ.ค. – 12 ส.ค.) โดยสหรัฐฯ จะจัดเก็บภาษีนำเข้าจากจีนเหลือ 30% และลดอัตราภาษีสินค้าจีนขนาดเล็ก (De minimis) มูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 120% เหลือ 54% ขณะที่จีนจะเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ เหลือเพียง 10% รวมถึงข้อตกลงผ่อนปรนมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี อาทิ จีนยกเลิกคำสั่งห้ามส่งออกแร่ธาตุหายาก ยกเลิกคำสั่งห้ามสายการบินในประเทศรับมอบเครื่องบิน Boeing จากสหรัฐฯ และยกเลิกคำสั่งเพิ่มรายชื่อ 17 บริษัทสหรัฐฯ ลงในบัญชีหน่วยงานที่ไม่น่าเชื่อถือ การที่สองประเทศมหาอำนาจหันมาคุยกันได้เช่นนี้เป็นสัญญาณที่ดีว่า สงครามการค้าอาจลดความรุนแรงลงบ้าง แต่ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลกยังมีอยู่มาก และที่สำคัญความเชื่อมั่นของนานาประเทศต่อระเบียบการค้าโลกแบบเดิมได้ลดลงไปแล้ว

หลังการเจรจารอบแรกสิ้นสุดลง แม้สหรัฐฯ มองว่าเป็นชัยชนะของตน แต่หลายฝ่ายมองว่าจีนเป็นฝ่ายชนะในครั้งนี้ อย่างน้อยในสายตาของคนจีนเอง โดยทางการจีน กลุ่ม Influencers และสื่อของรัฐต่างประโคมข่าวความสำเร็จของการเจรจา ขณะเดียวกัน โซเชียลมีเดียใหญ่ เช่น Weibo ได้ใช้แฮชแท็กเฉพาะ #USChinaSuspending24%TariffsWithin90Days โดยมีผู้เข้าชมเนื้อหามากกว่า 420 ล้านครั้ง ชาวจีนมองว่าครั้งนี้เป็นชัยชนะของรัฐบาลที่มีศิลปะการเจรจาสูงโน้มน้าวให้สหรัฐฯ ปรับลดภาษีตอบโต้ลงไปเหลืออัตราขั้นต่ำ 10% เท่ากับประเทศคู่ค้าอื่น เหตุการณ์นี้ยังช่วยปลุกกระแสรักชาติของชาวจีนให้ร่วมกันสนับสนุนรัฐบาลและภาคธุรกิจเพื่อช่วยลดผลลบต่อเศรษฐกิจ

จีนใช้กลยุทธ์ พูดน้อย-เตรียมมาก-พร้อมลากยาว

พูดน้อย- นับตั้งแต่ทรัมป์ชนะเลือกตั้งเมื่อ พ.ย. 2567 จีนไม่ได้แสดงท่าทียินดีต่อการกลับมาดำรงตำแหน่งของทรัมป์อย่างชัดเจน โดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ส่งผู้แทนไปร่วมพิธีสาบานตนแทนการไปร่วมงานด้วยตนเอง และยังปฏิเสธคำเชิญเยือนจีนในวาระ 100 วันแรกของทรัมป์ ที่สำคัญ ในวัน Liberation Day ซึ่งทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีสินค้าจีน 34% คณะผู้นำจีนกลับให้ความสำคัญกับกิจกรรมปลูกป่าเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแทนการตอบโต้ทันที สะท้อนความตั้งใจส่งสัญญาณว่า จีนไม่ตื่นตระหนกต่อแรงกดดันจากสหรัฐฯ แต่พยายามแสดงความมั่นคงและไม่ทำให้ชาวจีนตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นจีนได้ประกาศขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ ในอัตรา 34% เท่ากัน และขึ้นอัตราภาษีโต้ตอบอีกหลายรอบ รวมถึงประกาศมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีเพิ่มเติม เช่น การเพิ่มชื่อบริษัทสหรัฐฯ ลงในบัญชี Unreliable entities ส่งผลต่อการทำธุรกิจของสหรัฐฯ ในจีน และการสอบสวน Google ในข้อหาละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดของจีน

ในช่วง เม.ย.ที่ผ่านมา แม้สถานการณ์ตอบโต้ระหว่างสหรัฐฯ–จีนรุนแรงขึ้น แต่รัฐบาลจีนกลับไม่แถลงผ่านสื่อมากนัก โดยระบุเพียงว่าอัตราภาษีนำเข้าสูงสุดที่อาจเรียกเก็บจากสหรัฐฯ คือ 125% และไม่แสดงท่าทีต้องการเจรจาเหมือนช่วงเร่งทำข้อตกลงภายใต้ทรัมป์ 1.0 ในปี 2563 ที่จีนส่งผู้แทนระดับสูงไปพูดคุยและนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ ล่วงหน้าเพื่อแสดงความจริงใจในการลดการเกินดุลการค้า ในปี 2568 จีนเพียงเสนอว่าหากสหรัฐฯ ต้องการเจรจา ควรเคารพจุดยืนจีนเรื่องไต้หวัน และแต่งตั้งผู้แทนอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้จีนเพิ่งแสดงท่าทีชัดเจนก่อนเปิดเจรจาที่สวิตเซอร์แลนด์ในวันที่ 10–11 พ.ค. เพียงไม่กี่วัน สะท้อนถึงการเน้นกลยุทธ์เชิงรูปธรรมมากกว่าการสื่อสารผ่านสื่อ

เตรียมมาก- จีนไม่ได้แสดงความกังวลต่อแนวโน้มการเปลี่ยนกติกาโลกจากการกลับมาของทรัมป์ โดยยังคงเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจปีนี้ไว้ที่ 5% และพร้อมออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมหากจำเป็น สะท้อนว่ารัฐบาลจีนได้วางแผนและเตรียมกลยุทธ์รับมือมาอย่างรอบคอบตลอดหลายปี และพร้อมประคองเศรษฐกิจในปีนี้หากสถานการณ์กดดันจีนรุนแรงขึ้น เช่น

1.กระจายตลาดส่งออกไปยังอาเซียนและลาตินอเมริกามากขึ้น สัดส่วนการส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจาก 20.4% ในปี 2544 เหลือ 14.6% ในปี 2567 สำหรับตลาดอาเซียนเพิ่มสัดส่วนกว่าเท่าตัวจาก 7% เป็น 16.4% และตลาดลาตินอเมริกาเพิ่มจาก 3.1% เป็น 7.7% ในช่วงเวลาเดียวกัน ช่วยให้จีนมีตลาดรองรับหากการส่งออกไปยังสหรัฐฯ หยุดชะงัก

ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ China General Administration of Customs
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ China General Administration of Customs

2.เร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองภายใต้กลยุทธ์ Dual Circulation ภาครัฐและเอกชนลงทุนวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องในด้าน AI, Quantum computing และ Biotech สนับสนุนการใช้ซอฟต์แวร์สัญชาติจีนแทน Microsoft หรือ Oracle เพื่อไม่ให้การพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตกกลายเป็นจุดอ่อนเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศ

3.ธนาคารกลางจีน (PBOC) อนุญาตให้เงินหยวนอ่อนค่ามากขึ้นเทียบกับประเทศคู่ค้า ตั้งแต่ปี 2565 เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากการส่งออกอีกทางหนึ่ง โดยดัชนีค่าเงินหยวน (NEER) อ่อนค่าลง 2.8% นับตั้งแต่ต้นปี 2568 (ข้อมูล ณ 22 พ.ค.) และหากดูดัชนีค่าเงินหยวนที่แท้จริง (REER) พบว่า ดัชนีค่าเงินหยวนยิ่งอ่อนค่ามากขึ้นจากปัญหาเงินฝืด

ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ Bank for International Settlements
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ Bank for International Settlements

4.นโยบายการคลังขาดดุลสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เน้นกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ รัฐบาลจีนเพิ่มการขาดดุลการคลังในปี 2568 สูงถึง 4% ต่อ GDP เพื่อรองรับผลกระทบจากทรัมป์ 2.0 ผ่านการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ แตกต่างจากในอดีตที่ให้ความสำคัญกับการลงทุน เช่น มาตรการเก่าแลกใหม่ การออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ท้องถิ่นและอัดฉีดเงินทุนสู่ธนาคารรัฐ ซึ่งช่วยหนุนการบริโภคผ่านความสามารถในการปล่อยสินเชื่อที่มากขึ้น

5.รัฐบาลปลูกฝังแนวคิด West is declining, China is rising ให้ชาวจีนมั่นใจระบบเศรษฐกิจภายในประเทศและใช้ประโยชน์จากตลาดจีนขนาดใหญ่ ในการรองรับสินค้าที่เคยผลิตเพื่อส่งออก ผ่านการขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการ E-commerce และได้ปลุกกระแส Red tourism อีกครั้ง โดยเน้นให้คนจีนใช้จ่ายท่องเที่ยวในประเทศ เพื่อสร้างภาพจำของเศรษฐกิจจีนที่เติบโตได้ต่อเนื่องแม้ในยามโลกวิกฤต

พร้อมลากยาว- เศรษฐกิจจีนพร้อมทนเจ็บได้นานกว่าสหรัฐฯ หากสงครามการค้ายืดเยื้อ โดยจีนพยายามสร้างระบบเศรษฐกิจที่ลดการพึ่งพาตะวันตก และได้ขยายอิทธิพลผ่านการลงทุนในโครงการ Belt and Road Initiative ในประเทศกำลังพัฒนา มูลค่ารวมสูงถึง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงปี 2556-2567 ขณะเดียวกัน จีนได้เสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจผ่านกลุ่ม BRICS ซึ่งได้ร่วมก่อตั้งไว้ในปี 2549 ผ่านความพยายามผลักดันระบบการชำระเงินระหว่างประเทศที่ไม่พึ่งระบบ SWIFT เช่นเดิม และการผลักดันการใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการชำระค่าสินค้าภายในกลุ่ม เช่น หยวนและรูเบิล เพื่อลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ

ล่าสุดในเดือน เม.ย. ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงเดินทางเยือนเวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา เพื่อกระชับความร่วมมือด้านโครงสร้างพื้นฐานและภูมิรัฐศาสตร์ เป็นสัญญาณว่าจีนเร่งสร้างเครือข่ายกับประเทศนอกสหรัฐฯ เพื่อหาตลาดรองรับสินค้า ส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศ และเตรียมพร้อมรับมือหากกระแสการแยกตัวทางเศรษฐกิจจากสหรัฐฯ ชัดเจนมากขึ้น

จีนพร้อมต่อกรสหรัฐฯ อีกนาน หากสงครามการค้าไม่จบง่าย

แม้สถานการณ์โลกยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า และไม่อาจคาดเดาได้ว่าอัตราภาษีสุดท้ายที่สหรัฐฯ จะจัดเก็บแต่ละประเทศคู่ค้าจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ จีนมีความพร้อมในการต่อรองกับสหรัฐฯ มากกว่าสงครามการค้ารอบแรก เครื่องมือที่จีนอาจใช้ตอบโต้สหรัฐฯ ยังมีในมืออีกมาก เช่น ตราสารหนี้รัฐบาลสหรัฐฯ ที่จีนถือครองมูลค่ารวม 7.65 แสนล้านดอลลาร์ ความสามารถในการควบคุมการส่งออกแร่ธาตุหายาก (Rare earth) การจำกัดการเข้าถึงตลาดจีนจากบริษัทสหรัฐฯ เช่น Facebook หรือ Google การชะลอนำเข้าภาพยนตร์ฮอลลีวูด รวมถึงความสามารถในการออกมาตรการการคลังเพิ่มเติม

เครื่องมือเหล่านี้ของจีนมากพอและแข็งแกร่งพอสำหรับการต่อรองสหรัฐฯ ได้นาน สุดท้ายอาจเป็นสหรัฐฯ เองที่จะทนแรงกดดันไม่ไหวจากผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่พึ่งพาสินค้าจีนในการผลิตและบริโภคสูง จนอาจทำให้เงินเฟ้อในสหรัฐฯ เร่งตัวขึ้น มีความเสี่ยงต่อภาวะขาดแคลนสินค้าจำเป็นจากการชะลอการส่งออกของจีน และสูญเสียความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ

โดยสรุป จีนเดินเข้าสมรภูมิสงครามการค้ารอบใหม่นี้ด้วยกลยุทธ์ที่รอบคอบ เน้นจุดแข็งในการวางแผนระยะยาว การควบคุมเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และการขยายพันธมิตร แม้ว่าข้อตกลงลดอัตราภาษีตอบโต้ชั่วคราวจะดูเหมือนจีนเสียเปรียบ ยอมให้สหรัฐฯ เก็บอัตราภาษีสูงกว่า แต่จีนมีกลยุทธ์สร้างความพร้อมรองรับการแยกตัวจากสหรัฐฯ ไว้แล้ว ขณะที่สหรัฐฯ อาจยังต้องพึ่งพาจีนในห่วงโซ่อุปทานการผลิตและตลาดผู้บริโภคอยู่มาก ผลลัพธ์สุดท้ายของการเจรจาใครเป็นผู้ชนะอาจไม่ได้วัดจากอัตราภาษีเท่านั้น แต่ขึ้นกับว่าใครเตรียมความพร้อมลงสนามรบภายใต้กติกาการค้าโลกใหม่ได้ยั่งยืนกว่าในระยะยาว

ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้  https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

กุศลิน จารุชาต

กุศลิน จารุชาต
นักเศรษฐศาสตร์ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC)