ปล้ำผีลุก ปลุกผีนั่งอยู่เป็นนานสองนาน ในที่สุดหวยค่าไฟฟ้า งวดเดือน พ.ค.-ส.ค.นี้ ก็ออกมาที่ 3.98 บาทต่อหน่วย ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายของรัฐบาล ที่กำหนดไว้เดิมที่ 3.99 บาทต่อหน่วย และยังเป็นอัตราที่ลดต่ำลงจากที่ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) กำหนดไว้ที่ 4.15 บาทต่อหน่วย
ดังนั้น ตั้งแต่วันที่ 10 พ.ค.เป็นต้นไป ผู้ใช้ไฟฟ้าที่เป็นลูกค้าของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จะทยอยได้รับบิลเรียกเก็บค่าไฟฟ้า งวดใหม่ระหว่างเดือน พ.ค.-ส.ค.นี้ ในอัตราดังกล่าว
เมื่อคลี่เข้าไปดูเนื้อในถึงสาเหตุที่ค่าไฟฟ้าสามารถปรับลดลงได้ มาจากการนำเงินเรียกคืนผลประโยชน์ส่วนเกิน (claw back) หรือเงินค่าเรียกเก็บผลประโยชน์ส่วนเกินที่ประมาณการลงทุน แต่เบิกจ่ายไม่เต็มวงเงิน ที่ได้รับการอนุมัติ ของ กฟน., กฟภ. และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ลดลงกว่าคาดการณ์ วงเงิน 12,200 ล้านบาท หรือคิดเป็น 17 สตางค์ต่อหน่วย
กกพ.ระบุว่า การลดค่าไฟฟ้า จะช่วยให้ประชาชนได้ประโยชน์ 3 ด้านหลัก คือ
ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 6 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้สั่งการให้ กกพ., กฟผ., บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ไปพิจารณากำหนดอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับงวดเดือน ก.ย.-ธ.ค.นี้ ในอัตราไม่เกิน 3.99 บาทต่อหน่วย เว้นแต่จะมีการเปลี่ยนแปลงราคาต้นทุนเชื้อเพลิงอย่างมีนัยสำคัญ โดยไม่ใช้งบประมาณแผ่นดิน
นับว่าเป็นอีก 1 ข่าวดีของคนใช้ไฟฟ้า เพราะกกพ.ยังมีคลอว์แบคเหลืออยู่ในมืออีก 7,800 ล้านบาท เป็นหน้าตักลดค่าไฟฟ้าในงวดดังกล่าว
โดยการใช้ claw back กกพ.ระบุว่า จะมีการใช้เฉพาะช่วงวิกฤติ อาทิ ช่วงโควิด-19 ที่เคยใช้ลดค่าไฟให้ประชาชน 20,000 ล้านบาท และครั้งนี้ใช้ 12,200 ล้านบาท เพราะปัญหาค่าไฟฟ้าแพง ถือเป็นภาวะวิกฤติของประเทศ ที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว และผลกระทบจากภาษีทรัมป์
คราวนี้ ลองมาสดับตรับฟังอีกมุมมองของ “วีระพล จิรประดิษฐกุล” นักวิชาการอิสระด้านพลังงาน และอดีตผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) โดยเฉพาะประเด็นค่าไฟฟ้าของประเทศไทย ที่แพงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ เวียดนามอยู่ที่ 2.70 บาทต่อหน่วย อินโดนีเซีย 3 บาทต่อหน่วย
โดยเฉพาะการวิจารณ์เกี่ยวกับโครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนของกกพ.จำนวน 5,200 เมกะวัตต์ และ 3,600 เมกะวัตต์ (RE Big Lot) ที่ถูกมองว่า เป็นการซ้ำเติมปัญหาค่าไฟแพงจากปริมาณสำรองไฟฟ้าล้นระบบ
เรื่องนี้ วีระพลอรรถาธิบายว่า เป็นการสร้างความสับสนให้ประชาชน เพราะข้อมูลยังมีความคลาดเคลื่อนในหลายประเด็น ทำให้กกพ. และกระทรวงพลังงานเป็นตำบลกระสุนตก ถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับความโปร่งใส ความเหมาะสม ของวิธีการรับซื้อไฟฟ้าในโครงการ RE Big Lot ทำให้ประชาชนสับสนข้อมูล และอยากให้รับฟังข้อมูลอย่างรอบด้าน
ทั้งนี้ ไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ไม่สามารถพึ่งพาได้ทั้งหมด จึงไม่มีการกำหนดเงื่อนไขบังคับให้รัฐบาลต้องจ่ายค่าพร้อมจ่าย (เอพี) เหมือนโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิลในระบบ และไม่สามารถนำไปคำนวณเป็นปริมาณไฟฟ้าสำรองได้ทั้งจำนวนเช่นกัน
ที่สำคัญ มาตรฐานสากลกำหนดสัดส่วนการพึ่งพาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยไฟฟ้าจากโซลาร์เซลส์พึ่งพาได้น้อยสุดเพียง 20% ของกำลังผลิตติดตั้ง ตามมาด้วยพลังงานลม 30% และไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ 70% ตามลำดับ
ขณะที่ข้อวิจารณ์เกณฑ์รับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน โดยกำหนดราคาเป้าหมายคงที่ 2.20-3.10 บาท/หน่วย เป็นเวลา 25 ปี จะทำให้ค่าไฟแพงต่อเนื่องระยะยาว ในด้านหนึ่งก็อาจมองได้อย่างนั้น เพราะตามหลักการค่าไฟจะเปลี่ยนแปลงทุกๆ 2 ปี แต่ก็ต้องมองในมุมของ กกพ.ที่ทำงานภายใต้สถานการณ์ที่ต่างออกไป เพราะ กกพ.ต้องจัดหาไฟฟ้าสะอาดให้ทันใช้ และเพียงพอต่อความต้องการคือโจทย์หลัก
ในอดีต กกพ.ก็เคยเลือกใช้วิธีการประมูลให้แข่งขันเสนอราคาขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ปรากฏว่ามีผู้สนใจเข้าร่วมประมูลเป็นจำนวนมาก แต่ภายหลังครึ่งหนึ่งของผู้เข้าร่วมประมูล ก็ทิ้งสัญญาเพราะไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ตามเงื่อนไขและราคาที่เสนอ
ที่สำคัญกรณีของค่าไฟฟ้าสีเขียว (UGT) ที่ผลิตจากพลังงานสะอาด ก็ไม่กระทบค่าไฟของประชาชน เพราะกกพ.กำหนดให้แยกโครงสร้างราคาค่าไฟฟ้า UGT ออกจากโครงสร้างค่าไฟปกติ และให้ผู้ที่ต้องการซื้อไฟฟ้าสีเขียวต้องรับภาระค่าใช้จ่ายและต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ด้วยการคิดค่าพรีเมียมเพิ่มเติม ฐานค่าไฟเฉลี่ยปกติที่เรียกเก็บจากประชาชนทั่วไป
ในประเด็นความสับสนเกี่ยวกับปริมาณสำรองไฟฟ้า วีระพล เห็นว่ากกพ.ต้องเป็นหน่วยงานหลักในการกำหนดนิยามและประกาศปริมาณสำรองไฟฟ้าเพียงหน่วยงานเดียว เพื่อไม่ให้สับสน และมั่นใจว่าปริมาณไฟฟ้าสำรอง ล่าสุดไฟฟ้าสำรองมีปริมาณ 37-38% เท่านั้น ของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งระบบ ไม่ได้สูงเกินครึ่งตามที่วิจารณ์กัน
ที่สำคัญ สาเหตุที่ปริมาณสำรองไฟฟ้าที่สูง เกิดจากภาวะเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าการคาดการณ์จากการได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศ มาอย่างต่อเนื่องและเมื่อเศรษฐกิจขยายตัวต่ำ ความต้องการไฟฟ้าก็ต้องลดลงตามไปด้วย
ขณะเดียวกัน ประเด็นการที่จะทบทวนเงื่อนไขสัญญาซื้อไฟจากเอกชน วีระพลได้ระบุว่า แก้ไขสัญญาสามารถทำได้ ด้วยการเจรจาเป็นรายๆ ไป เพื่อยืดระยะเวลาออกไป แต่สุดท้ายแล้วเอกชนยังต้องได้รับผลประโยชน์ครบถ้วนตามสัญญา ต้องดูคือว่าได้คุ้มเสียหรือไม่
นอกจากนี้ จากข้อมูลปัจจุบันโรงไฟฟ้าหลักภาคเอกชนขนาดใหญ่ (ไอพีพี) ที่มีภาระค่าเอพีโดยรวมประมาณ 10,000 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าบางส่วนทยอยหมดอายุสัญญาไปแล้ว การยืดอายุสัญญาไอพีพีในระบบก็ชั่งน้ำหนัก ระหว่างการอยู่กับเทคโนโลยีล้าสมัย อีกอย่างน้อย 2-3 ปี แลกกับการลดค่าพร้อมจ่ายที่อาจไม่ถึง 10% ของภาระค่าพร้อมจ่ายโดยรวมปัจจุบันเพียง 70-80 สตางค์ต่อหน่วย หรือได้คืนกลับมาหลักสตางค์ต่อหน่วยเท่านั้น
วีระพล กล่าวทิ้งท้ายว่า เรื่องการประกาศค่าไฟฟ้าเป็นหน้าที่ของ กกพ. แต่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรทำความเข้าใจระหว่างกัน มีการนำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริง และหารือกันอย่างรอบด้าน ก่อนที่จะมีการประกาศค่าไฟฟ้าอย่างเป็นทางการ ที่มีความเป็นเอกภาพ ไม่สร้างความสับสนให้ประชาชนผู้ใช้พลังงาน
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney