
หลังจากใช้สูตรคำนวณสุดพิสดาร ประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าไปสหรัฐฯ ในอัตราสูงสุดในประวัติศาสตร์ ส่งผลให้ทั่วทั้งโลกปั่นป่วนมาตลอด 1 สัปดาห์ ดูเหมือนว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ จะหยุดพักให้ประเทศไทยมีเวลาหายใจ ไปทำบุญขึ้นปีใหม่ไทยในช่วงวันหยุดสงกรานต์
เพราะในคืนวันที่ 9 เม.ย.ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศเลื่อนการขึ้นภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ดังกล่าวออกไป 90 วัน เพื่อให้เวลาสำหรับ 75 ประเทศที่แสดงเจตจำนงและส่งข้อเสนอการปรับเปลี่ยนผลประโยชน์ทางการค้ากับสหรัฐฯ ได้มีเวลาเจรจาแลกเปลี่ยนกับการลดอัตราภาษี
ยกเว้นประเทศจีนประเทศเดียว ที่สหรัฐปรับขึ้นภาษีทันที 145% โทษฐานที่จีนประกาศตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ รวมจนถึงวันนี้ 125% ภายใต้ความหวังว่าสงครามการขึ้นภาษีระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ดุเดือดในขณะนี้จะไม่ลุกลามเลยเถิดจนหยุดไม่ได้ แต่ยังสามารถจบได้บนโต๊ะเจรจาในไม่ช้านี้
อย่างไรก็ตาม การเก็บภาษีนำเข้าทั่วไป (Universal Tariff) ที่สหรัฐฯ ประกาศใช้ 10% กับทุกประเทศตั้งแต่วันที่ 5 เม.ย. ยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่มีความเห็นว่า สิ่งที่ทรัมป์ทำลงไปแล้วนั้น ได้สร้างผลกระทบเปลี่ยนแปลงระบบการค้าและเศรษฐกิจโลกอย่างมหาศาล และยังไม่มีใครมั่นใจได้ว่า “คลื่นที่สงบในชั่วโมงนี้ และถาโถมเปลี่ยนเป็นคลื่นยักษ์สึนามิในวันรุ่งขึ้น” หรือไม่
นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากพยายามหาเหตุผลเพื่อ “เดาใจ” ประธานาธิบดีทรัมป์ว่าจะไปต่ออย่างไร เพราะส่วนใหญ่เชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็น "เกมการเจรจาต่อรอง" (Negotiation Game)
ทีมงานของ “ทรัมป์” เองรู้ดีว่า การเก็บภาษีสินค้านำเข้าในอัตราที่สูงมากขนาดนี้ หากทำจริงและบังคับใช้ในระยะยาว หนึ่งในคนที่ถูกทำร้ายได้รับความเสียหายสูงสุด คือ ภาคธุรกิจสหรัฐฯ และชาวอเมริกันเอง เพราะสินค้าในประเทศจะแพงขึ้นมาก ตามมาด้วยเงินเฟ้อที่สูงมาก นักลงทุน เงินลงทุนขาดความเชื่อมั่น และภาวะเศรษฐกิจถดถอย
เพราะแค่ตัวอย่าง 7 วันแรก ราคาหุ้นสหรัฐฯ ก็ตกอย่างมโหฬาร พันธบัตรก็ถูกนักลงทุนทั่วโลกเทขาย ค่าเงินดอลลาร์อ่อนผิดปกติ ชาวอเมริกันแตกตื่นกักตุนสินค้า ภาคธุรกิจสหรัฐฯ เสียหายไปจำนวนมาก
ดังนั้น สิ่งที่ทรัมป์ทำอยู่ในขณะนี้ก็คือ การใช้กำแพงภาษีสูงๆ และอำนาจของผู้ซื้อรายใหญ่ของโลก “ขู่” คนทั้งโลก หวังจะต่อรองหาผลประโยชน์สูงสุดในการเจรจา เพื่อให้สหรัฐฯ ขายของได้มากขึ้น ลดการขาดดุลการค้า ดึงภาคการผลิตจากทั่วโลกกลับมาสร้างงานในสหรัฐฯ และเอาเข้าจริงๆ สหรัฐฯ เองก็ต้องการ “เม็ดเงิน” จากการขึ้นภาษีตอบโต้ในครั้งนี้ เพื่อเพิ่มรายได้ของรัฐบาล ลดหนี้สาธารณะ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศเหล่านี้ ยังไม่รวมเป้าหมายหลักในการสกัดกั้นบทบาทของจีนทั้งในเวทีเศรษฐกิจและการเมืองโลก
90 วันผ่านไป แลกกับผลประโยชน์ต่างๆ ที่เราต้องเสีย เช่น การลดภาษี และเพิ่มการนำเข้าสินค้ามาแข่งขันกับสินค้าที่ผลิตโดยคนไทย (ซึ่งรัฐบาลไทยจะต้องพยายามเจรจาให้เราเสียประโยชน์น้อยที่สุด) สหรัฐฯ น่าจะลดอัตราภาษีตอบโต้ที่เรียกเก็บจากไทย 36% ลงบ้าง
แต่คงต้องจับตาว่าในระหว่างนี้ทรัมป์จะมีลูกเล่นภาษีหรือค่าธรรมเนียมใหม่ๆ เพิ่มเติมอีกหรือไม่ และที่สำคัญคือ แม้อัตราภาษีที่เรียกเก็บกับไทยจะลดลงจาก 36% แต่อัตราภาษีที่เรียกเก็บเพิ่มขึ้นก็จะยังมีผลกระทบการส่งออก และการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอยู่ดี ส่วนจะกระทบแค่ไหน ส่วนหนึ่งขึ้นกับภาษีของประเทศคู่แข่งว่า เขาถูกเก็บในอัตราสูงกว่าหรือต่ำเรา รวมทั้งผลกระทบจาก China Flooding สินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาไทยทดแทนการส่งไปสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ท่ามกลางความปั่นป่วนของตลาดเงิน ตลาดพันธบัตร ตลาดหุ้นทั่วโลก ราคาทองคำ ความมั่งคั่งของนักลงทุนทั่วโลกที่ลดลง รวมทั้งการลดประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้
นอกเหนือจากการจับตาทิศทางที่เราจะไปเจรจากับสหรัฐฯ หลายสายตาจับจ้องไปที่แนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายที่รัฐบาลเตรียมเงินไว้แล้ว เช่น มาตรการเงินหมื่นดิจิทัล ซึ่งรัฐบาลยังค้างการแจกอยู่จำนวนมาก ทั้งเฟสของเด็กๆ อายุ 16-20 ปี และประชาชนทั่วไป อายุ 21-59 ปี รวมทั้งมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างเที่ยวไทยคนละครึ่ง ว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร
เนื่องจากเห็นว่า นโยบายการคลังที่ใช้ได้เริ่มมีจำกัด ในขณะที่รัฐบาลจำเป็นต้อง “หางบประมาณ” อีกก้อนใหญ่ เพื่อใช้ในมาตรการเยียวยาภาคแรงงาน ภาคการเกษตรและภาคธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอี ที่จะได้รับผลกระทบทั้งโดยตรงและโดยอ้อม จากการขึ้นอัตราภาษีนำเข้าและการเจรจาเพื่อต่อรองภาษีกับประธานาธิบดีทรัมป์
นอกจากนั้น ยังต้องเตรียมเงิน เตรียมมาตรการเพิ่มเพื่อรับมือการทะลักของสินค้าราคาถูกจากจีนและประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งรอบนี้อาจจะทำให้เอสเอ็มอี และโรงงานในไทยหลายแห่งซวนเซ จนถึงขั้นปิดกิจการ
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ระบุว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างปรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีอยู่ และพร้อมจะขยายเพดานหนี้สาธารณะเพิ่มจาก 70% ในปัจจุบัน แต่หากจะทำจริงจะต้องพิจารณาความคุ้มค่าของเงิน และประสิทธิภาพของการใช้เงินให้มากที่สุด
ขณะเดียวกัน ในฝั่งของนโยบายการเงิน ซึ่งนักวิเคราะห์การเงินส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 2 ครั้งในปีนี้ หลังจากลดไปแล้ว 1 ครั้งในเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ทำให้สิ้นปีนี้ อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.5%
โดยเหตุผลที่ กนง.อาจจะไม่ลดดอกเบี้ยลงได้มาก เหมือนกับธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะลดดอกเบี้ยนโยบาย 3-4 ครั้ง เพราะดอกเบี้ยนโยบายเดิมของไทยอยู่ในระดับต่ำกว่าประเทศอื่น ทำให้มีพื้นที่เหลือในการใช้นโยบายการเงินไม่มากนัก และกนง.เองยังต้องเก็บกระสุนส่วนหนึ่งไว้ใช้หากเกิดกรณีฉุกเฉิน
แต่ทั้งนี้ จากการคำนวณผลจากการใช้มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของรัฐที่เตรียมไว้จะทำในปีนี้ บวกกับแรงส่งที่จะเพิ่มขึ้นจากการลดดอกเบี้ยนโยบายลง 2 ครั้ง ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยปี 2568 ฟื้นตัว แต่จะช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยให้ไม่เกิดภาวะถดถอย แต่คงช่วยลดแรงกระแทกจากนโยบายทรัมป์ 2.0 คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ได้ไม่มากนัก
สำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจส่วนใหญ่ฟันธง เศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตได้ต่ำกว่า 2% แม้เราจะสามารถเจรจาลดภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ให้ต่ำกว่า 36% ลงมาเหลือไม่เกิน 25% ได้ และจะมีหลายภาคเศรษฐกิจที่สถานการณ์น่าเป็นห่วง
ดังนั้น หากต้องการให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวดีกว่านี้ จะต้องลุ้นว่า รัฐบาลจะมีมาตรการเสริมก็อก 2 ที่จะเข้ามาช่วยเป็นฟูกช่วยรองรับช่วยลดแรงกระแทก และเยียวยาเพิ่มเติมให้เศรษฐกิจไทยได้ตรงจุดแค่ไหน
ขณะที่ “คู่มืออยู่รอดในยุคความผันผวนทรัมป์” ซึ่งจะอยู่กับเราไปอย่างน้อยอีก 20 เดือนจากนี้ กูรูแนะนำว่า “ให้ศึกษาความเสี่ยงของตัวเองให้ดี ไม่ไหวถอยมาถือเงินสดเพิ่ม รักษาสภาพคล่องที่มีอยู่ ทำธุรกิจดูแลควบคุมต้นทุน ลดการลงทุนเสี่ยง ที่สำคัญสำหรับทุกคน ทุก Gen ช่วงนี้ไม่สร้างหนี้โดยไม่จำเป็น”
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney