
ท่องเที่ยวไทยปีนี้ดูโชคไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เอาว่าถ้าเป็นคน ก็ดูเหมือนจะมีแต่เรื่องมาขัดดวง ขัดจังหวะดีๆ ให้เสียไป ทั้งๆ ที่ปีนี้รัฐบาลประกาศให้เป็นปี Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 หรือ “มหัศจรรย์ไทยแลนด์ แกรนด์ ทัวริสต์ แอนด์ กีฬา ปี 2568” ตั้งเป้าดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ 39 ล้านคน และสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 3 ล้านล้านบาท
เริ่มมาจากต้นปีมีข่าวใหญ่โตดังทั่วโลก เมื่อนักแสดงชาวจีน “ซิง ซิง” ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกข้ามแดนจาก อ.แม่สอด จ.ตาก ข้ามไปฝั่งเมียนมาเพื่อไปร่วมในขบวนการหลอกโอนเงิน แม้ต่อมาจะเกิดความร่วมมือในการปราบและทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีนที่ฝังตัวอยู่ฝั่งเมียนมา จนช่วงนี้ช่วยลดระดับการหลอกลวงที่เข้ามาปั่นป่วนชีวิตคนในหลายชาติรวมทั้งคนไทยลงได้
แต่ในแง่การท่องเที่ยวของไทย รับผลกระทบเต็มๆ เมื่อนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มีมุมมองติดลบต่อประเทศไทย ถึงขั้นกลัวกันว่ามาแล้วจะถูกหลอกเอาไปร่วมขบวนการและถูกกักตัวไว้ จึงชะลอเดินทางมาไทยตั้งแต่เดือน ม.ค. ซึ่งเป็นวันหยุดยาวเทศกาลตรุษจีนพอดี
จากที่หวังว่าปีนี้คนจีนจะมาไทยในช่วงเทศกาลตรุษจีนระหว่างวันที่ 24 มกราคม-2 กุมภาพันธ์ 2568 ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงตรุษจีนปีก่อนที่ 30%
หลังจบเทศกาลปรากฏตัวเลขที่ “สรวงศ์ เทียนทอง” รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า ช่วงตรุษจีนปีนี้มีนักท่องเที่ยวชาวจีน 287,000 คน เพิ่มขึ้น 7% จากช่วงเดียวกันของปี 2567 อย่างไรก็ตาม มีความแตกต่างในข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า นักท่องเที่ยวจีนในช่วงตรุษจีนปี 2568 อาจหดตัวลง 17.5% เมื่อเทียบกับปี 2567
เอาเป็นว่าประเทศไทยเสียโอกาสไป 1 เทศกาลสำคัญ จนถึงวันนี้ “ศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร” นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) ซึ่งเชี่ยวชาญตลาดจีนมากที่สุด ประเมินว่า นักท่องเที่ยวจีนตลอดปีนี้ อาจจะเท่ากับปีที่แล้ว 6.7 ล้านคนหรือดีที่สุด คือ 7 ล้านคน โอกาสที่จะเห็น 10 ล้านคนเหมือนในปี 2562 ก่อนเกิดโควิด-19 กลายเป็นเรื่องยาก ซึ่งจะส่งผลกระทบไปยังเป้าหมายภาพรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติตลอดทั้งปีนี้ที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้ด้วย
แต่เอาน่า ประเทศไทยยังมีอีกหลายเทศกาล!!
มาถึงเดือนเมษายน 2568 รัฐบาลจัดปรากฏการณ์สุดยิ่งใหญ่ “Maha Songkran World Water Festival 2025” และ “เย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์” ดันประเทศไทยให้ติด 1 ใน 10 ประเทศเฟสติวัลระดับโลก ตั้งเป้าว่าระหว่างวันที่ 12-16 เมษายน 2568 การเดินทางของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ จะสร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวกว่า 26,500 ล้านบาท เติบโต 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 476,000 คน เพิ่มขึ้น 3% สร้างรายได้ 7,324 ล้านบาท และมีชาวไทย 4,418,500 คน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 6% สร้างรายได้ทางการท่องเที่ยว 19,240 ล้านบาท
แต่ก็ได้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว ตึก สตง. ถล่ม ในวันที่ 28 มีนาคม 2568 ซึ่งเป็นเหตุให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกผวาเดินทางมาประเทศไทย ด้วยเพราะภาพข่าวตึกถล่มที่เป็นข่าวออกไป ส่งผลให้นักท่องเที่ยวกังวลเรื่องความปลอดภัยและมาตรฐานของตึกในประเทศไทย
โดยสองวันหลังจากนั้นนักท่องเที่ยวที่จองตั๋วเครื่องบินเพื่อเดินทางมาเที่ยวประเทศไทย นับเฉพาะที่จองผ่านสมาคมสายการบินแห่งประเทศไทย ที่มีสมาชิกรวม 6 สายการบิน ได้แก่ บางกอกแอร์เวย์ส, ไทยแอร์เอเชีย, ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์, ไทยไลอ้อนแอร์, เวียตเจ็ท ไทยแลนด์, และนกแอร์ พบว่า 90% ขอเลื่อนเดินทาง และ 10% ขอยกเลิกทันที ด้านยอดจองที่นั่งที่เข้ามา ก็ลดลงเฉลี่ย 40-60% เฉพาะตลาดจีน ลดลงเกือบ 60% อินเดียลดลง 45% เวียดนาม ลดลง 45% และมาเลเซีย 43%
ล่าสุด “เทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานนท์” นายกสมาคมโรงแรมไทย ได้เปิดผลการสำรวจนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางมาท่องเที่ยว ระหว่างวันที่ 11-17 เม.ย. นี้ ในช่วงสงกรานต์ 2568 จากตัวอย่างการสำรวจโรงแรม 52 แห่ง พบภาพรวมโดยเฉลี่ยนักท่องเที่ยวใน 7 จังหวัดหลักๆ ได้แก่ กรุงเทพฯ กระบี่ ชลบุรี เชียงราย เชียงใหม่ ภูเก็ต และสุราษฎร์ธานี ลดลงประมาณ 25% จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง 10,517 ห้อง ยอดจองห้องพักเหลือ 32,244 ห้อง จากปี 2567 มีจำนวนการจอง 42,761 ห้อง และประเมินว่าตลอดเดือนเม.ย. นักท่องเที่ยวต่างชาติจะลดลงประมาณ 25% หรือลดลง 689,282 คน เหลือ 2,067,846 คน เมื่อเทียบจากปี 2567 ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2,757,128 คน
ทั้งหมดนี้ เป็นผลมาจากความกังวลเรื่องของความปลอดภัยในตัวอาคารของไทยหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
ผ่านไปเพียง 3 เดือนกว่า โอกาสครั้งใหญ่ของการท่องเที่ยวไทยปีนี้ หายไปแล้วเป็นคำรบสอง ยิ่งมาเจอแผ่นดินไหวทางเศรษฐกิจ เมื่อประธานาธิบดีสหรัฐฯ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประกาศเพิ่มภาษีสินค้าที่นำเข้าสหรัฐฯ จาก 60 ประเทศทั่วโลก ส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจทั่วโลกปีนี้ปั่นป่วน ส่งผลทางลบต่อการเดินทางท่องเที่ยวของคนทั่วโลกไปด้วย
“มหัศจรรย์ ไทยแลนด์” จึงไม่ “มหัศจรรย์” ด้วยประการฉะนี้
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney