สงครามการค้า เกมแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่ไม่มีคำว่า Win-Win

Experts pool

Columnist

Tag

สงครามการค้า เกมแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่ไม่มีคำว่า Win-Win

Date Time: 7 ก.พ. 2568 19:46 น.

Video

Jack Ma กลับมา จะพา Alibaba สร้างอำนาจใหม่ให้วงการเทคจีนได้ยังไง ? | Digital Frontiers EP.50

Summary

ข้อมูลจาก United States Census Bureau ณ วันที่ 6 ก.พ. 2568 ไทยอยู่อันดับ 10 ประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ โดยมูลค่าเกินดุล 41,500 ล้านเหรียญฯ จากปีก่อนอยู่อันดับ 12 ของโลก จึงต้องจับตาการเจรจาต่อรองแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ของไทย เพื่อไม่ให้สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าให้ดี เนื่องจากที่ผ่านมาไทยมักเป็นรองเสมอ ดังนั้นหากไม่เกิดประโยชน์อย่างสมดุลแล้ว ไทยก็ไม่ควรเสียเปรียบมากจนสร้างความเสียหายให้กับคนไทย โดยเฉพาะภาคเกษตรที่แทบช่วยตัวเองไม่ได้เลย

Latest


สงครามการค้าและเกมแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างสหรัฐฯ กับนานาชาติเริ่มระอุขึ้นแล้ว และยังไม่รู้ว่าจะระอุได้สุดถึงขั้นไหน!!

หลังจาก “โดนัลด์ ทรัมป์” รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ วันแรกเมื่อ 20 ม.ค. 2568 ก็ได้ลงนามคำสั่ง เพื่อวางกรอบนโยบายทางการค้าที่เรียกว่า “นโยบายทางการค้าสหรัฐอเมริกาต้องมาก่อน” (America First Trade Policy) เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเศรษฐกิจ แรงงาน และความมั่นคงของสหรัฐฯ

โดยเน้นตอบโต้การค้าที่ไม่เป็นธรรมและไม่สมดุล ทั้งการตอบโต้การขาดดุลการค้าด้วยการกำหนดมาตรการทางภาษีนำเข้าสินค้าจากทั่วโลกเพิ่มเติม ตอบโต้การบิดเบือนค่าเงิน

รวมถึงทบทวนนโยบายและระเบียบเกี่ยวกับมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) มาตรการตอบโต้การอุดหนุน (CVD) และการอุดหนุนข้ามชาติ (Transnational Subsidy) ทบทวนความตกลงการค้าเสรีทุกฉบับ ฯลฯ

และหลังจากนั้น ก็ได้เริ่มต้นผลักดันผู้อพยพจากประเทศเพื่อนบ้านออกนอกสหรัฐฯ ตามมาด้วยเมื่อวันที่ 1 ก.พ.2568 ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกอีก 25% จากเดิม ส่วนจีน ประกาศเพิ่มขึ้นอีก 10% นำมาซึ่งการโต้กลับของทั้ง 3 ประเทศทันที

โดยแคนาดาประกาศจะเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ทันที 25% อาทิ ไวน์ เบียร์ เหล้าเบอร์เบิน ผัก ผลไม้ น้ำผลไม้ น้ำส้ม เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์กีฬา น้ำหอม เสื้อผ้า รองเท้า ฯลฯ ขณะที่เม็กซิโกจะปรับขึ้นภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ เช่นกันอีก 5-20%

อย่างไรก็ตาม หลังการประกาศตอบโต้กันของทั้ง 3 ประเทศได้ไม่นาน ทรัมป์ก็ประกาศชะลอเก็บภาษีจาก 2 ประเทศออกไปอีกอย่างน้อย 1 เดือน เพราะได้ต่อสายตรงคุยกับผู้นำของทั้ง 2 ประเทศแล้ว และพร้อมให้ความร่วมมือกับสหรัฐฯ ในการแก้ปัญหาหนักอก ทั้งอาชญากร ยาเสพติด ฟอกเงิน และผู้อพยพ

สำหรับจีน การขึ้นภาษี 10% มีผลแล้วเมื่อวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา และน่าจะตามมาอีกหลายระลอก เพราะการเก็บภาษียังไม่ถึงระดับสูงสุดที่ 65% อย่างที่ทรัมป์เคยหาเสียงไว้ ส่งผลให้จีนยื่นเรื่องขอหารือสหรัฐฯ เกี่ยวกับการขึ้นภาษีครั้งนี้ต่อองค์การการค้าโลก (WTO) แล้ว

ถือเป็นการเริ่มต้นกระบวนการระงับข้อพิพาทของจีนอย่างเป็นทางการใน WTO หากไม่เจรจาร่วมกันภายในเวลาที่กำหนด หรือหากไม่สามารถเจรจากันได้ภายในเวลาที่กำหนด จีนสามารถร้องขอให้ระงับข้อพิพาทของ WTO แต่งตั้งคณะผู้พิจารณาเพื่อพิจารณาคดีได้

ตั้งแต่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีครั้งแรกต่อเนื่องถึงโจ ไบเดน จีนและสหรัฐฯ มีคดีที่ค้างอยู่ใน WTO หลายเรื่อง ทั้งที่จีนได้ขอหารือกับสหรัฐฯ และอยู่ระหว่างการอุทธรณ์ของสหรัฐฯ ภายหลัง WTO ตัดสินว่าสหรัฐฯ ผิดจริง

และคาดว่า หลังจากนี้ จะมีอีกหลายประเทศที่สหรัฐฯ จะใช้มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มอีก หรืออาจตัดสิทธิพิเศษต่างๆ เช่น สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) ที่สหรัฐฯ ไม่ต่ออายุโครงการมาตั้งแต่ปี 2563 โดยเน้นประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐฯ มากๆ ซึ่งไทยก็เข้าข่ายติดอยู่ในร่างแหเรื่องนี้เช่นกัน

เนื่องจากไทยได้ดุลการค้าสหรัฐฯ มาอย่างต่อเนื่องหลายปี และล่าสุด ปี 2567 ข้อมูลจาก United States Census Bureau ณ วันที่ 6 ก.พ. 2568 ไทยอยู่อันดับ 10 ประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ โดยมูลค่าเกินดุล 41,500 ล้านเหรียญฯ จากปีก่อนอยู่อันดับ 12 ของโลก ส่วน 10 อันดับที่เกินดุลสหรัฐฯ ได้แก่

  1. จีน เกินดุลสูงถึง 270,000 ล้านเหรียญฯ
  2. เม็กซิโก 157,200 ล้านเหรียญฯ
  3. เวียดนาม 113,100 ล้านเหรียญฯ
  4. ไอร์แลนด์ 80,500 ล้านเหรียญฯ
  5. เยอรมนี 76,400 ล้านเหรียญฯ
  6. ไต้หวัน 67,400 ล้านเหรียญฯ
  7. ญี่ปุ่น 62,600 ล้านเหรียญฯ
  8. เกาหลีใต้ 60,200 ล้านเหรียญฯ
  9. แคนาดา 54,800 ล้านเหรียญฯ 
  10. ไทย 41,500 ล้านเหรียญฯ

สินค้าที่ไทยได้ดุลสหรัฐฯ ตลอด 5 ปี (ปี 2561-2565) และเสี่ยงถูกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้น เช่น คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ, โทรศัพท์มือถือ, โซลาร์เซลล์, ยางนอกชนิดอัดลมที่เป็นของใหม่, หม้อแปลงไฟฟ้า, เครื่องปรับอากาศ, เครื่องพิมพ์ที่ป้อนกระดาษเป็นม้วน, เครื่องส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์, วงจรรวมอิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ

สงครามการค้ารอบนี้ สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ การเปิดโอกาสให้ประเทศเป้าหมายเจรจาต่อรองเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน แต่ผลประโยชน์ของสหรัฐฯ สูงสุด อย่างกรณีแคนาดาและเม็กซิโก

นอกจากนี้ ยังจะได้เห็นการต่อรองผลประโยชน์ด้านอื่นๆ อีกมากมาย ที่ไม่ใช่เฉพาะด้านเศรษฐกิจ ทั้งพลังงาน ความมั่นคง การเมือง

หรือกระทั่งสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ทรัมป์ขู่ “วลาดิเมียร์ ปูติน” แห่งรัสเซียให้เร่งจบสงครามภายใน 100 วัน ไม่เช่นนั้นจะใช้มาตรการทางภาษีและลงโทษรัสเซียเพิ่มเติม รวมถึงเจรจากับผู้นำยูเครนขอแร่หายากแลกกับความช่วยเหลือของสหรัฐฯ

ส่วนไทย ประเทศเล็กๆ ที่ไม่น่ามีอะไรไปต่อรองกับยักษ์ใหญ่ แต่ไทยก็มีหลายอย่างที่สหรัฐฯ ต้องการ เช่น สิทธิประโยชน์การลงทุน การนำเข้าสินค้าเกษตรหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ไทยมีความต้องการใช้มาก หมูเนื้อแดงและเครื่องในหมู เนื้อวัว เนื้อไก่ ฯลฯ

โดยเฉพาะเนื้อหมูและเครื่องในที่สหรัฐฯ กดดันให้ไทยนำเข้ามานานแล้ว แต่ยังไม่สำเร็จ เพราะสหรัฐฯ ใช้สารเร่งเนื้อแดงที่ทางการไทยมีกฎหมายห้ามใช้ในการเลี้ยง และห้ามพบปนเปื้อนในเนื้อหมูที่วางขายในท้องตลาดอย่างเด็ดขาด

ดังนั้น ต้องจับตาการเจรจาต่อรองแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ของไทย เพื่อไม่ให้สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าให้ดี ซึ่งภาคเอกชนเสนอให้รัฐบาลจัดตั้ง “คณะทำงานเฉพาะกิจ” หรือ “วอร์รูม” เกาะติดนโยบายทรัมป์ 2.0 โดยมีทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนร่วมด้วย เพื่อวางแผนเจรจาต่อรองและแก้ปัญหาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นให้ได้ทันท่วงที

การเจรจาต่อรองเช่นนี้ ที่ไทยมักเป็นรองเสมอ หากไม่เกิดประโยชน์อย่างสมดุลแล้ว ไทยก็ไม่ควรเสียเปรียบมากจนสร้างความเสียหายให้กับคนไทย โดยเฉพาะภาคเกษตรที่แทบช่วยตัวเองไม่ได้เลย!!

ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดี" ได้ที่ 
https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้  https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

สิริวรรณ พงษ์ไพโรจน์

สิริวรรณ พงษ์ไพโรจน์
ข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ