“รายการที่เกี่ยวโยงกัน” สำคัญไฉน ทำไมต้องเป็นกฎหมาย

Experts pool

Columnist

Tag

“รายการที่เกี่ยวโยงกัน” สำคัญไฉน ทำไมต้องเป็นกฎหมาย

Date Time: 28 ธ.ค. 2567 09:21 น.

Video

เก็บเงินก็ยาก ลงทุนก็เสี่ยง คนไทยรอดจากความจนยาก? กับ ดร.บุรินทร์ อดุลวัฒนะ | Thairath Money Night Stand EP.17

Summary

นักลงทุนจำนวนมากที่กังวลประเด็นบรรษัทภิบาลในกรณีนี้ แสดงความเห็นในทำนองที่ว่า รายการนี้น่าจะผิดหลักบรรษัทภิบาลที่ดี ผิดหลักการ ESG (governance คือตัว G ในแนวคิด ESG) ฯลฯ โดยที่ไม่รู้ว่า พ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของไทย และกฎระเบียบ ก.ล.ต. และ ตลท. ได้มีการใส่ประเด็นหลักๆ ว่าด้วยบรรษัทภิบาล (corporate governance) เข้ามาตามมาตรฐานสากลนานหลายปีแล้ว โดยเนื้อหาเกี่ยวกับ “บรรษัทภิบาล” ตามมาตรฐานสากลที่ว่า ถูกใส่เข้ามาใน พ.ร.บ. หลักทรัพย์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2551 หรือ 16 ปีมาแล้ว ในหมวด 3/1 การบริหารกิจการของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ เพียงแต่ความผิดในหมวด 3/1 นี้แทบไม่เคยเห็นเป็นคดีความในไทย ดังนั้นนักลงทุนจะไม่รู้ก็ไม่แปลกว่าหลัก “บรรษัทภิบาล” เป็นกฎหมายแล้ว ไม่ใช่แค่หลักการสวยหรูบนเว็บไซต์ของบริษัท หรือในการรายงาน CG Reporting และประเด็น “รายการที่เกี่ยวโยงกัน” ถูกบัญญัติในมาตรา 89/12 ในหมวด 3/1 ของ พ.ร.บ. หลักทรัพย์ด้วย

Latest


อาจเป็นเรื่องบังเอิญที่โชคดีว่า ระหว่างที่ผู้เขียนเขียนเรื่อง ESG ติดต่อกันสิบกว่าตอนตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ตอนล่าสุดเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2567 ว่าด้วย “ขีดจำกัดของ ESG สมัครใจ” ต่อจากนั้นเพียง 3 สัปดาห์ ก็เกิดเรื่องฮือฮาเกี่ยวกับ ESG ในตลาดทุน เมื่อบริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) (CPAXT – ชื่อใหม่ของ บมจ. สยามแม็คโคร หลังจากที่ควบรวมกิจการกับ เทสโก้ โลตัส เมื่อหลายปีก่อน) ส่งสารสนเทศแจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเวลา 17.16 วันที่ 13 ธันวาคม 2567 (ช่วงเย็นวันศุกร์หลังตลาดหุ้นปิดทำการไปแล้ว) ว่า

“บริษัทฯ ได้มีการจัดตั้งบริษัทย่อยทางตรง คือ บริษัท แอ็กซ์ตร้า โกรท พลัส จำกัด ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 95 โดย [บริษัทย่อยดังกล่าว] จะเข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทย่อยทางอ้อมคือ บริษัท แฮปปี้แทท แอท เดอะ ฟอเรสเทียส์ จำกัด ในสัดส่วนร้อยละ 100 (ยกเว้นหุ้น 1 หุ้น) ซึ่งประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน (Mixed-Use Development) ภายใต้โครงการ ชื่อ The Happitat ซึ่งประกอบด้วยห้างสรรพสินค้าจำนวน 3 อาคาร (โดยที่อาคารห้างสรรพสินค้าหลังหนึ่งมีสำนักงาน 10 ชั้น ตั้งอยู่ด้านบน) และอาคาร Central Utility Plant ที่เป็นศูนย์กลางสาธารณูปโภค โดยโครงการ The Happitat ทั้งหมดตั้งอยู่ภายในโครงการ The Forestias โดยบริษัทฯ ได้ดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2567”

บริษัทปิดท้ายจดหมายชี้แจงด้วยย่อหน้าสั้นๆ ว่า

“ทั้งนี้ รายการดังกล่าวไม่เข้าข่ายเป็นรายการที่เกี่ยวโยงและขนาดของรายการไม่เข้าข่ายเป็นรายการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ที่มีนัยสำคัญ...” ตามประกาศที่เกี่ยวข้อง

สารสนเทศฉบับนี้ส่งผลต่อราคาหุ้นของบริษัททันทีที่ตลาดหุ้นเปิดทำการในสัปดาห์ถัดไป โดยราคาปิดวันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม 2567 ของหุ้น CPAXT ลดลงถึงร้อยละ 17.5 เมื่อเทียบกับราคาปิดเย็นวันที่ 13 ธันวาคม 2567 (ตลาดหุ้นไทยปิดเวลา 17.00 – ก่อนที่บริษัทจะส่งสารสนเทศแจ้งธุรกรรมเพียง 16 นาที) ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นโดยรวมลดลงเพียงร้อยละ 1.3 ในช่วงเวลาเดียวกัน

ขณะที่ผู้เขียนเขียนบทความชิ้นนี้ (26 ธันวาคม 2567) ผู้เขียนยังคงรอคอยผลการสอบสวนกรณีนี้ รวมถึงกรณีที่เกี่ยวข้อง ของทั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) สองหน่วยงานผู้กำกับดูแลตลาดทุน ใน 4 ประเด็นหลักดังต่อไปนี้

  1. ธุรกรรมดังกล่าวเข้าข่าย “รายการที่เกี่ยวโยง” ตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ และประกาศ ก.ล.ต. และประกาศ ตลท. ที่เกี่ยวข้องหรือไม่?
  2. ถ้าเข้าข่ายตาม 1. ธุรกรรมดังกล่าวเข้าข่ายรายการขนาดใหญ่ “ที่ได้รับการยกเว้น” ไม่ต้องขอมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นในการเข้าทำรายการ ตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ และประกาศ ก.ล.ต. และประกาศ ตลท. ที่เกี่ยวข้องหรือไม่?
  3. การขายหุ้น CPALL บริษัทแม่ของ CPAXT ของบุคคลที่เป็นทั้งรองประธานกรรมการ CPALL และรองประธาน CPAXT ในวันที่ 3 ธันวาคม 2567 (กล่าวคือ 10 วันก่อน CPAXT จะแจ้งธุรกรรมต่อ ตลท. แต่เกือบ 1 เดือนหลังจากที่คณะกรรมการบริษัท CPAXT มีมติให้เข้าทำธุรกรรมนี้ ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567) เข้าข่าย “การซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้ข้อมูลภายใน” หรือไม่?
  4. การที่ CPAXT เพิ่งมาแจ้งธุรกรรมนี้ต่อ ตลท. ในวันที่ 13 ธันวาคม 2567 หรือนาน 5 สัปดาห์เต็ม หลังจากที่คณะกรรมการบริษัทมีมติให้ทำธุรกรรมเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 เข้าข่ายผิดข้อ 4 ในข้อบังคับ ตลท. เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการเกี่ยวกับการเปิดเผยสารสนเทศ และการปฏิบัติการใด ๆ ของบริษัทจดทะเบียน พ.ศ. 2560 ที่ให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยสารสนเทศ “ทันที” ที่เกิด “กรณีใด ๆ ที่มีหรือจะมีผลกระทบต่อสิทธิประโยชน์ของผู้ถือหลักทรัพย์หรือต่อการตัดสินใจในการลงทุน หรือต่อการเปลี่ยนแปลงในราคาของหลักทรัพย์จดทะเบียนของบริษัทจดทะเบียน” หรือไม่?

ระหว่างที่รอคอยผลการสอบสวน และความชัดเจนใน 4 ประเด็นข้างต้น ผู้เขียนก็สังเกตว่านักลงทุนมีความเห็นที่แตกต่างหลากหลาย ซึ่งก็คงเป็นเรื่องปกติของการลงทุนในตลาดหุ้นที่ต่างคนต่างความคิด นักลงทุนบางคนเห็นว่าธุรกรรมนี้จะเป็นผลดีต่อบริษัทในอนาคต บางคนมองตรงกันข้ามว่าเป็นการเข้าไป “อุ้ม” บริษัทที่มีภาระหนี้สินค่อนข้างสูง สุ่มเสี่ยงที่จะลาก CPAXT ให้ประสบปัญหาตามไปด้วย นักลงทุนคนอื่นมองในแง่เทคนิคเป็นหลักว่าราคาที่หล่นลงมานี้จัดว่า “น่าช้อน” แล้วหรือยัง ฯลฯ

ประเด็นที่ผู้เขียนสนใจมากกว่าประเด็นความสมเหตุสมผลทางธุรกิจของรายการนี้ คือ ประเด็นบรรษัทภิบาล (corporate governance) โดยเฉพาะในเมื่อปฏิเสธข้อเท็จจริงไม่ได้ว่า เจ้าของโครงการ The Happitat ที่ CPAXT เข้าไปลงทุน เป็น “บุคคลที่เกี่ยวโยงกัน” ของบริษัท เพราะเป็นน้องสาวแท้ๆ ของประธานกรรมการบริษัท CPAXT

น่าสังเกตว่า CPAXT รายงาน ตลท. ว่า “รายการดังกล่าวไม่เข้าข่ายเป็นรายการที่เกี่ยวโยง” โดยไม่อธิบายเหตุผลใดๆ ทั้งที่การทำรายการกับ “บุคคลที่เกี่ยวโยงกัน” น่าจะเข้าข่ายเป็น “รายการที่เกี่ยวโยงกัน” โดยอัตโนมัติ เพียงแต่รายการที่เกี่ยวโยงกันบางลักษณะอาจเข้าข่ายได้รับยกเว้น ไม่ต้องทำตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ และเกณฑ์ของ ก.ล.ต. และ ตลท. (ซึ่งก็ออกตามกฎหมายหลักทรัพย์)

นักลงทุนจำนวนมากที่กังวลประเด็นบรรษัทภิบาลในกรณีนี้ แสดงความเห็นในทำนองที่ว่า รายการนี้น่าจะผิดหลักบรรษัทภิบาลที่ดี ผิดหลักการ ESG (governance คือตัว G ในแนวคิด ESG) ฯลฯ โดยที่ไม่รู้ว่า พ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของไทย และกฎระเบียบ ก.ล.ต. และ ตลท. ได้มีการใส่ประเด็นหลักๆ ว่าด้วยบรรษัทภิบาล (corporate governance) เข้ามาตามมาตรฐานสากลนานหลายปีแล้ว

เนื้อหาเกี่ยวกับ “บรรษัทภิบาล” ตามมาตรฐานสากลที่ว่า ถูกใส่เข้ามาใน พ.ร.บ. หลักทรัพย์ ครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2551 หรือ 16 ปีมาแล้ว ในหมวด 3/1 การบริหารกิจการของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์

เริ่มตั้งแต่การระบุหน้าที่ของกรรมการและผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน ตั้งแต่มาตรา 89/7 ถึง 89/11 ว่า กรรมการและผู้บริหารต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ความระมัดระวัง และความซื่อสัตย์สุจริต – นี่คือลอกหลักการ duty of care และ duty of loyalty ในกฎหมายหลักทรัพย์ประเทศพัฒนาแล้วมาเป๊ะๆ

เพียงแต่ความผิดในหมวด 3/1 นี้แทบไม่เคยเห็นเป็นคดีความในไทย ดังนั้นนักลงทุนจะไม่รู้ก็ไม่แปลกว่าหลัก “บรรษัทภิบาล” เป็นกฎหมายแล้ว ไม่ใช่แค่หลักการสวยหรูบนเว็บไซต์ของบริษัท หรือในการรายงาน CG Reporting

ประเด็น “รายการที่เกี่ยวโยงกัน” ถูกบัญญัติในมาตรา 89/12 ในหมวด 3/1 ของ พ.ร.บ. หลักทรัพย์ว่า กรรมการ ผู้บริหาร หรือบุคคลที่มีความเกี่ยวข้อง จะกระทำธุรกรรมกับบริษัทหรือบริษัทย่อยได้ ก็ต่อเมื่อธุรกรรมดังกล่าวได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นแล้ว ยกเว้นธุรกรรมที่เข้าลักษณะใดลักษณะหนึ่งตามมาตรานี้

ขีดเส้นใต้คำว่า “ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น” – แปลว่าโดยหลักการ บริษัทจะทำรายการที่เกี่ยวโยงกันได้ก็ต่อเมื่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติแล้ว ยกเว้นธุรกรรมที่ได้รับยกเว้นตามกฎหมาย

“บุคคลที่เกี่ยวข้อง” มีความหมายและนิยามเดียวกันกับ “บุคคลที่เกี่ยวโยงกัน” ตามประกาศ ก.ล.ต. และประกาศ ตลท. ในประเด็นนี้ โดยเว็บไซต์ ตลท. อธิบายว่า “บุคคลที่เกี่ยวโยงกัน” หมายถึง “บุคคลที่อาจทำให้กรรมการหรือผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียนมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ในการตัดสินใจดำเนินงานว่าจะคำนึงถึงประโยชน์ของบุคคลนั้น หรือประโยชน์สูงสุดของบริษัทเป็นสำคัญ”

พูดง่ายๆ คือ ในการตัดสินใจทำธุรกรรม กรรมการหรือบริหารอาจเห็นแก่ประโยชน์ของบุคคลที่เกี่ยวโยงกับตน มากกว่าประโยชน์ของบริษัท เนื่องจากมีผลประโยชน์ทับซ้อน

การทำรายการที่เกี่ยวโยงของบริษัทจดทะเบียน จึงต้องมีกฎกติกาเพิ่มเข้ามามากกว่าปกติ เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้น โดยนิยามคือบริษัทมหาชนที่มีผู้ถือหุ้นรายย่อยจำนวนมาก

ไม่ใช่บริษัทจำกัดนอกตลาด ผู้ถือหุ้นน้อยรายซึ่งเจ้าของอาจมีคนเดียวหรือเป็นคนกลุ่มเดียวกัน จะจัดการอย่างไร ทำรายการกับใคร ก็คงไม่มีใครว่าเพราะไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียด้วย

กฎ “รายการที่เกี่ยวโยง” จึงต้องตราขึ้นเป็นข้อกฎหมายใน พ.ร.บ. หลักทรัพย์ เพราะเป็นกลไกสำคัญที่จะป้องกันปัญหาจากผลประโยชน์ทับซ้อน และสร้างความมั่นใจให้กับผู้ถือหุ้นรายย่อยว่า กรรมการและผู้บริหารทุกคนจะทำงาน “ด้วยความรับผิดชอบ ความระมัดระวัง และความซื่อสัตย์สุจริต” เพื่อประโยชน์สูงสุดของบริษัท ไม่ใช่ของบุคคลที่เกี่ยวโยงกับกรรมการ หรือผู้บริหารคนใดคนหนึ่ง

กติกาเรื่องนี้ไม่ได้หมายความว่า บริษัทจดทะเบียนจะทำรายการที่เกี่ยวโยงกันไม่ได้เลย เพราะรายการเหล่านี้อาจเป็นประโยชน์กับบริษัทจริงๆ ก็ได้

เพียงแต่บริษัทต้องทำตามขั้นตอนตามกฎหมาย ขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นถ้าเป็นรายการใหญ่ที่ไม่ได้รับการยกเว้น โดยมีที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ (IFA) มาให้ความเห็นประกอบการพิจารณา เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้ถือหุ้นรายย่อย ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น

จากหน้า “ข้อมูลการเปิดเผยธุรกรรมที่สำคัญและรายการที่เกี่ยวโยงกัน” บนเว็บไซต์ ก.ล.ต. พบว่ารายการเหล่านี้มีจำนวนมากถึง 3,331 รายการ นับเฉพาะในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา (ธันวาคม 2564 - ธันวาคม 2567)

แล้วรายการเกี่ยวโยงแบบไหนบ้างที่ได้รับยกเว้น ไม่ต้องทำตามกฎหมาย?

มาตรา 89/12 พ.ร.บ. หลักทรัพย์ และประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน และประกาศ ตลท. ระบุข้อยกเว้นไว้หลายข้อด้วยกัน

  • ธุรกรรมที่เป็นข้อตกลงทางการค้าในลักษณะเดียวกับที่วิญญูชนจะพึงกระทำกับคู่สัญญาทั่วไปในสถานการณ์เดียวกัน ด้วยอำนาจต่อรองทางการค้าที่ปราศจากอิทธิพลในการที่ตนมีสถานะเป็นกรรมการ ผู้บริหาร หรือบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องแล้วแต่กรณี และเป็นข้อตกลงทางการค้าที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ หรือเป็นไปตามหลักการที่คณะกรรมการอนุมัติไว้แล้ว
  • การให้กู้ยืมเงินตามระเบียบสงเคราะห์พนักงานและลูกจ้าง
  • ธุรกรรมที่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งของบริษัท หรือคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายมีสถานะเป็น (ก) บริษัทย่อยที่บริษัทจดทะเบียนถือหุ้นไม่น้อยกว่า 90% หรือ (ข) บริษัทย่อยที่กรรมการ ผู้บริหาร หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องถือหุ้นหรือมีส่วนได้เสีย ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม ไม่เกินจำนวนอัตราหรือมีลักษณะตามที่คณะกรรมการกำกับตลาดทุนประกาศกำหนด
  • การออกหลักทรัพย์ใหม่ให้บุคคลที่เกี่ยวโยงกันตามเงื่อนไขตามที่กำหนด เช่น เพื่อโอนต่อให้บุคคลอื่น โดยราคาของหลักทรัพย์ที่ออกไม่ต่ำกว่าราคาตลาด และไม่เพิ่มส่วนได้เสียของบุคคลที่เกี่ยวโยงกัน, Right Offering (ได้ตามสิทธิและส่วนในฐานะผู้ถือหุ้น), Underwriter โดยวิธีรับประกันผลจำหน่าย และ Employee Stock Option Program (ESOP)
  • รายการระหว่างบริษัทจดทะเบียนหรือบริษัทย่อย กับบุคคลที่เกี่ยวโยงกันเป็นนิติบุคคลที่บริษัทจดทะเบียนส่งตัวแทนเข้าไปเป็นผู้บริหาร (MD) ในฐานะผู้ถือหุ้นของบริษัทดังกล่าว
  • รายการที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นธรรม และไม่เป็นการถ่ายเทผลประโยชน์

ลำพังสามัญสำนึกก็พอบอกเราได้ว่า ข้อยกเว้นเหล่านี้เป็นข้อยกเว้น เพราะเป็นธุรกรรม “ปกติ” จริงๆ เช่น บุคคลที่เกี่ยวโยงบังเอิญได้หุ้น ESOP ของบริษัทไปเพราะเป็นพนักงาน ไม่ได้มีสิทธิเหนือพนักงานคนอื่นๆ, บุคคลที่เกี่ยวโยงเป็นคู่ค้าปกติ ค้าขายกับบริษัทในธุรกิจหลักตามปกติของบริษัท บริษัทไม่ได้มีการให้สิทธิประโยชน์มากกว่าคู่ค้ารายอื่นที่ขายของชนิดเดียวกันแต่อย่างใด

ถ้าหากบริษัทจดทะเบียนก่อตั้งบริษัทย่อยขึ้นมาสำรวจแนวโน้มการทำธุรกิจใหม่ที่สนใจจะเข้าตลาด โดยเชิญบุคคลที่เกี่ยวโยงมาถือหุ้นส่วนน้อย ไม่ถึง 10% กรณีนี้ตอนตั้งบริษัทย่อยก็เข้าข่ายเป็นข้อยกเว้น ไม่ต้องทำตามกฎรายการที่เกี่ยวโยง แต่ถ้าหากว่าตั้งบริษัทย่อยขึ้นมาด้วยวัตถุประสงค์เดียว คือ ไปลงทุนในโครงการของบุคคลที่เกี่ยวโยงกัน ในธุรกิจหรือกิจกรรมที่บางส่วนบริษัทจดทะเบียนไม่เคยทำมาก่อน และไม่อยู่ในหลักการลงทุนที่คณะกรรมการบริษัทอนุมัติไว้ก่อนหน้า กรณีนี้ก็ไม่ควรเข้าข่ายเป็นข้อยกเว้น เพราะบริษัทย่อมรู้อยู่แล้วว่าจะได้มาซึ่งสินทรัพย์ของบุคคลเกี่ยวโยง ไม่ว่าในวันที่ก่อตั้งบริษัทย่อย หรือวันที่เริ่มทยอยจ่ายเงินลงทุนในอนาคต

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

สฤณี อาชวานันทกุล

สฤณี อาชวานันทกุล
นักเขียน นักแปล และนักวิชาการอิสระด้านการเงิน มีความสุขกับการทำงานในประเด็น ธุรกิจที่ยั่งยืน พลังพลเมือง และเกม