
ปัจจุบันประเทศไทยยังคงเผชิญกับปัญหาการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่ไม่เท่าเทียมกัน โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข พบว่ามีเด็กไทยกว่า 1 ล้านคนที่ขาดโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพและพัฒนาการในระยะยาว
ในยุคดิจิทัลนี้ เทคโนโลยี Telemedicine คือเครื่องมือสำคัญที่จะเข้ามาปฏิวัติวงการแพทย์และสาธารณสุข ช่วยลดช่องว่างในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ โดยเฉพาะสำหรับเด็กในพื้นที่ห่างไกล ผู้ปกครองสามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้โดยตรงผ่านระบบออนไลน์ ไม่จำเป็นต้องเดินทางไกล หรือค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตที่อาจไม่น่าเชื่อถือ
การเข้ามาของเทคโนโลยี Telemedicine หรือการแพทย์ทางไกลแบบออนไลน์ กลายเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่มีศักยภาพในการช่วยแก้ปัญหาสุขภาพเด็กในยุคปัจจุบัน โดยเทคโนโลยีนี้จะช่วยให้เด็กเข้าถึงการรักษาและคำปรึกษาทางการแพทย์ได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ห่างไกล หรือมีข้อจำกัดด้านการเดินทาง
ทั้งยังช่วยให้ผู้ปกครองพูดคุยกับแพทย์เฉพาะทางได้อย่างรวดเร็ว ในเวลาไหนก็ได้ เช้าสายบ่ายดึก ถามได้ทันทีเมื่อพบอาการที่น่าสงสัย เช่น พัฒนาการล่าช้า ลูกไข้สูง ผื่นขึ้น ท้องเสีย ฯลฯ สอบถามได้ทุกคำถามเหมือนกับคุยกับแพทย์ที่โรงพยาบาล
เทคโนโลยี Telemedicine ช่วยให้ผู้ปกครองสามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้โดยตรง ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีความปลอดภัยและน่าเชื่อถือ นอกจากนี้ยังช่วยให้กุมารแพทย์หนึ่งคน ดูแลรักษาเด็กได้มากขึ้น ลดภาระการเดินทางทั้งของแพทย์และผู้ปกครอง เพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์มากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล
ข้อมูลจาก Journal of Telemedicine and Telecare (2022) พบว่า พ่อแม่ส่วนใหญ่พึงพอใจกับการปรึกษาหมอเด็กออนไลน์สูงถึง 94% และช่วยลดค่าใช้จ่าย เฉลี่ย 245 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อการไปหาหมอที่โรงพยาบาลหนึ่งครั้ง
Telemedicine ไม่ใช่แค่เรื่องของการปรึกษาหมอออนไลน์ได้เท่านั้น แต่ยังช่วยให้แพทย์และเจ้าหน้าที่ทำงานสะดวกขึ้น สามารถติดตามอาการป่วยของเด็กได้เรียลไทม์ โดยที่ตัวเด็กเองไม่ต้องอยู่ที่โรงพยาบาล เป็น Tool ที่เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา ลดช่องว่างของความไม่เทียมทางการแพทย์
ยกตัวอย่างการใช้ Telemedicine ในเคสของเด็กที่ป่วยเป็นโรคหอบหืดหรือโรคหัวใจ ด้วยการ “ติดตามสัญญาณชีพจากระยะไกล” ด้วยการส่งอัตราการเต้นของหัวใจและระดับออกซิเจนในเลือดออนไลน์ไปยังแพทย์ เพื่อแบบประเมินแบบเรียลไทม์ ซึ่งจากการศึกษาในวารสาร Pediatrics (2021) พบว่าการใช้อุปกรณ์ติดตามอาการทางไกลในเด็กโรคหอบหืดช่วยลดการเข้ารักษาในห้องฉุกเฉินลงได้ 31% และลดการนอนโรงพยาบาลลง 24% เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม ที่สำคัญช่วยลดความเครียดและค่าใช้จ่ายในการรักษาของผู้ปกครอง ขณะเดียวกันก็ทำให้แพทย์ทำงานสะดวกขึ้น วางแผนการรักษาได้แม่นยำกว่าเดิม
ถึงวันนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญญาประดิษฐ์กำลังก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกอุตสาหกรรม และวงการแพทย์ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการดูแลสุขภาพเด็ก ตัวอย่างที่โดดเด่นคือการใช้ AI ในการวิเคราะห์อาการและสอบถามประวัติผู้ป่วยเบื้องต้น ซึ่งช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น งานวิจัยจาก Stanford University ได้ยืนยันถึงความน่าเชื่อถือของ AI ในฐานะผู้ช่วยแพทย์อัจฉริยะ ไว้ได้น่าสนใจว่า สามารถตรวจจับโรคผิวหนังในเด็กได้แม่นยำถึง 91% เทียบเท่ากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
นอกจากนี้ AI ยังมีบทบาทสำคัญในการประเมินความเสี่ยงของโรคที่ซับซ้อน เช่น ภาวะออทิสติกในเด็ก โดยสามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากภาพถ่าย MRI เพื่อศึกษาโครงสร้างและการทำงานของสมองได้อย่างละเอียด โดยผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า AI สามารถประเมินโอกาสการเกิดออทิสติกได้แม่นยำสูงถึง 94% ซึ่งนับเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญในการตรวจพบและวินิจฉัยเบื้องต้นได้อย่างรวดเร็ว
ระบบนี้ช่วยอำนวยความสะดวกในการดูแลสุขภาพเด็กอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ โดยทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยส่วนตัวในการจัดการด้านสุขภาพ เมื่อถึงเวลาระบบจะส่งการแจ้งเตือนเกี่ยวกับการนัดหมายต่าง ๆ เช่น การตรวจสุขภาพประจำปี การฉีดวัคซีน หรือการพบแพทย์ตามนัด ผ่านทางข้อความ อีเมล หรือการแจ้งเตือนบนแอปพลิเคชัน
นอกจากนี้ ระบบยังช่วยติดตามการรักษาโดยส่งคำเตือนเมื่อถึงเวลารับประทานยา หรือทำกิจกรรมตามแผนการรักษา เช่น การวัดระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับเด็กเบาหวาน หรือการบันทึกอาการสำหรับเด็กที่มีโรคเรื้อรัง ข้อมูลเหล่านี้จะถูกรวบรวมและวิเคราะห์เพื่อสร้างรายงานสรุปสำหรับแพทย์ ช่วยให้การติดตามอาการและปรับแผนการรักษาทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะเดียวกันช่วยลดภาระของผู้ปกครองในการจดจำตารางนัดหมายให้การดูแลสุขภาพเด็กเป็นเรื่องที่จัดการได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้เด็กเองก็ได้รับการดูแลที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง เป็นไปตามแผนการรักษาของแพทย์
หมอคู่คิดส์ แอปฯ หมอเด็กออนไลน์ บริษัทในเครือ Looloo Health ภายใต้บริษัท Looloo Technology นำเอาเทคโนโลยี Telemed เข้ามาเพิ่มโอกาสให้เด็กไทยทุกคนให้เข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่ดีได้อย่างเท่าเทียม ด้วยการพัฒนา "หมอคู่คิดส์" แอปฯ หมอเด็กออนไลน์เจ้าแรกของไทย ที่รวมเอาทีมแพทย์และพยาบาลจาก รพ.ชั้นนำของไทย เข้ามาช่วยตอบคำถามเรื่องเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนโต ตลอดทั้งกลางวัน กลางคืน
แอปพลิเคชันที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ ด้วยบริการครอบคลุมทุกด้านของการเลี้ยงดูลูกน้อย ตั้งแต่แรกเกิดจนโต ไม่ว่าจะเป็นคำถามเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วย วิธีการเลี้ยงดู พัฒนาการเด็ก หรือจิตวิทยาเด็ก คุณพ่อคุณแม่สามารถปรึกษาแพทย์และพยาบาลจากโรงพยาบาลชั้นนำได้ตลอดทั้งกลางวันและกลางวัน ผ่านแชตหรือวิดีโอคอลในแอปพลิเคชัน
นอกจากนี้ ยังมีบริการพิเศษสำหรับคุณแม่หลังคลอด ด้วยการเช็กสุขภาพใจกับนักจิตวิทยา เพื่อดูแลสุขภาพจิตของคุณแม่อย่างใกล้ชิด พร้อมด้วยฟีเจอร์ฟรี! ที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น ไดอารีออนไลน์สำหรับบันทึกพัฒนาการและการเจริญเติบโตของลูก รวมถึงการบันทึกกิจวัตรประจำวันและการฉีดวัคซีน
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการเพิ่มพูนความรู้ในการเลี้ยงลูก หมอคู่คิดส์ได้รวบรวมคลิปวิดีโอให้ความรู้จากหมอเด็กชั้นนำหลายท่าน อาทิ หมอเสาวภาจากเพจ "เลี้ยงลูกเชิงบวก", หมอแอมจากเพจ "เรื่องเด็ก by หมอแอม" และหมอจอยกับหมออมยิ้มจาก TikTok ปิดท้ายด้วยบริการช้อปปิ้งสินค้าแม่และเด็กคุณภาพดี ที่ผ่านการคัดสรรโดยแพทย์จากโรงพยาบาลชั้นนำ เพื่อความมั่นใจของคุณพ่อคุณแม่ทุกท่าน
เทคโนโลยี Telemedicine กำลังปฏิวัติวงการแพทย์เด็ก โดยไม่เพียงเพิ่มประสิทธิภาพในการวินิจฉัยและรักษา แต่ยังเปิดโอกาสให้เด็กได้รับการดูแลตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของเด็กและครอบครัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ปัจจุบันตลาด Telemedicine สำหรับเด็กกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในตลาดเอเชีย-แปซิฟิกที่น่าจะมีอัตราการเติบโตที่โดดเด่นที่สุด คาดว่ามูลค่าตลาดจะเพิ่มขึ้นจาก 4.04 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2019 เป็น 15.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2026 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 21.2% ตามการประเมินของ BIS Research นอกจากนี้ ตลาด Telemedicine ในกลุ่มประเทศสำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น อินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย ก็คาดว่าจะเติบโตตามแนวโน้มโลก โดยคาดว่ามูลค่าตลาดในปี 2026 จะอยู่ที่ประมาณ 1,780 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 24.2%
การเติบโตนี้เป็นผลมาจากความต้องการบริการสุขภาพสำหรับเด็กที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหลังการระบาดของ COVID-19 ที่ทำให้ผู้คนตระหนักถึงความสะดวกและการเข้าถึงบริการแพทย์ทางไกลมากขึ้น Telemedicine ไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา แต่ยังทำให้การเข้าถึงบริการทางการแพทย์สะดวกขึ้นสำหรับทั้งเด็กและผู้ปกครอง นับเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับการดูแลสุขภาพเด็กในอนาคต