จับจังหวะลงทุนกับทิศทางเศรษฐกิจหลังการเลือกตั้ง

Experts pool

Columnist

Tag

จับจังหวะลงทุนกับทิศทางเศรษฐกิจหลังการเลือกตั้ง

Date Time: 19 พ.ค. 2566 15:53 น.

Video

Broadcom ทำธุรกิจแบบไหน? ถึงกลายเป็น “ผู้ควบคุมนวัตกรรม” แห่งยุค AI | Digital Frontiers EP.49

Summary

Latest


 

ในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา มี 2 เหตุการณ์ที่เป็นเครื่องบ่งชี้ ทิศทางเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปได้ เหตุการณ์แรก ได้แก่ การประกาศตัวเลขการขยายตัวเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/2023 ของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ส่วนเหตุการณ์ที่สอง ได้แก่ ผลการเลือกตั้งทั่วไปอย่างไม่เป็นทางการของไทย

 

ในเหตุการณ์แรก สภาพัฒน์ประกาศว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 1 ขยายตัว 2.7% ต่อปี หรือ 1.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (ปรับฤดูกาลแล้ว) ซึ่งใกล้เคียงกับที่เราคาดที่ 2.5% ในมุมมองเรา ในช่วงที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยกำลังเริ่มฟื้นตัวขึ้นหลังจากการเปิดประเทศ ทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายในประเทศจะมากขึ้น แต่ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่ กำลังชะลอรุนแรงขึ้นจะทำให้ ภาคการผลิตและส่งออกได้รับผลกระทบ เราจึงเชื่อว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ในระดับ 3% ภาพที่เรามอง สอดคล้องกับตัวเลขเศรษฐกิจจริงที่ประกาศโดยสภาพัฒน์ โดยองค์ประกอบหลักที่เป็นส่วนผลักดันเศรษฐกิจในไตรมาส 1/2023 ได้แก่

(1) การบริโภคเอกชนที่ขยายตัว 5.4% ตามการท่องเที่ยวที่ขยายตัวถึงกว่า 34.3% และการกลับมาขยายตัวของการใช้จ่ายในหมวดสินค้าคงทน

(2) การส่งออกบริการ (หรือรายได้จากนักท่องเที่ยวขาเข้า) ที่ขยายตัวสูงถึง 87.8% แต่ปริมาณการส่งออกสินค้าหดตัวลงถึงกว่า -6.4% (ตามทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ ชะลอลง) ทำให้การส่งออกสินค้าและบริการสุทธิ (ที่รวมทั้งส่งออกและท่องเที่ยว) ขยายตัว 3.0% และ

(3) การลงทุนภาคเอกชน ที่ขยายตัว 2.6%

 

ส่วนภาคที่ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว ได้แก่ ภาคสินค้าคงคลังและการบริโภคภาครัฐ ที่มีส่วนทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวถึงกว่า -1.4% (percentage point)

 

ในส่วนภาคการผลิต ภาคที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดี โดยสาขาที่พักแรมและบริการขยายตัว 34.3% และขนส่งที่ 12.4% ส่วนภาคค้าส่งค้าปลีก และก่อสร้าง ขยายตัวต่อเนื่องที่ 3.3% และ 3.9% ตามลำดับ ขณะที่ภาคที่หดตัวเกี่ยวข้องกับการส่งออก โดยเฉพาะการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม หดตัว -3.1% โดยอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับส่งออกหดตัวถึง -13.7% โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ เฟอร์นิเจอร์และพลาสติก ส่วนอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ยานยนต์และการกลั่นปิโตรเลียม

 

มองไปข้างหน้า เราเริ่มกังวลภาคการผลิตมากขึ้น ทั้งจาก (1) ความเสี่ยงภัยแล้งที่ อาจจะกระทบต่อการผลิตภาคเกษตร ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรอาจปรับลดลงตามภาวะเศรษฐกิจโลก (2) ภาคอุตสาหกรรมที่อาจจะยังหดตัวต่อเนื่องตามความต้องการโลกที่ แย่ลง และ (3) ภาคการเงินที่เสี่ยงมากขึ้นจากความต้องการสินเชื่อที่ ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ และมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อที่ เข้มงวดขึ้น มุมมองของเราเป็นเช่นเดียวกับสภาพัฒน์ โดยแม้ว่าสภาพัฒน์จะยังคงประมาณการการขยายตัวเศรษฐกิจในปีนี้เท่าเดิมที่ 2.7-3.7% (ค่ากลาง 3.2%) ขณะที่เรามองว่าเศรษฐกิจปีนี้ จะขยายตัว 3.0% แต่เริ่มส่งสัญญาณกังวลความเสี่ยงมากขึ้น โดยสภาพัฒน์มองว่า การเบิกจ่ายภาครัฐจะล่าช้า และการลงทุนภาคเอกชนจะชะลอมากขึ้นตามทิศทางการส่งออก ขณะที่มุมมองเราค่อนข้างตรงกับสภาพัฒน์ฯ โดยยังคงมุมมองความเสี่ยงการส่งออกมีมาก ขณะที่มองว่าการบริโภคจะเป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปีนี้

 

นอกจากนั้น สภาพัฒน์กังวลความแปรปรวนของสภาพภูมิ อากาศที่ส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตร โดยกังวลว่าไทยจะเข้าสู่ ภาวะเอลนีโญ โดยมองว่าปริมาณน้ำฝนเฉลี่ ยอาจลดต่ำมากในช่วงปลายปี นอกจากนั้น ยังกังวลเรื่องความล่าช้าในการจัดทำงบประมาณ อันเป็นผลจากการเลือกตั้งที่มีผลต่อการเจรจางบประมาณ นอกจากนั้น ความไม่แน่นอนทางการเมืองหลังเลือกตั้งก็เป็นปัจจัยที่สภาพัฒน์กังวลด้วยเช่นกัน

 

ในส่วนของเรา ในประเด็นภัยแล้ง เราจับตาดัชนี SOI (Southern Oscillation Index) ซึ่งเป็นดัชนี แสดงความแปรปรวนของระบบอากาศซีกโลกใต้และเป็นตัวชี้วัดความเสี่ยงเกิดภาวะ El Nino มากขึ้น โดยหากดัชนีนี้เข้าสู่แดนลบ แสดงว่าภูมิอากาศมีปัญหา โดยอาจทำให้เกิดภาวะ El Nino ในระยะ 3-6 เดือนข้างหน้า และกระทบต่อการเพาะปลูกและผลผลิตทางเกษตรของไทย และนำไปสู่วิกฤติทางการเกษตรได้

 

โดยนับตั้งแต่ปี 1993 เป็นต้นมา ดัชนีดังกล่าวบ่งชี้ภาวะ El Nino ขึ้น 3 ครั้งใหญ่ๆ ได้แก่ (1) ช่วงปี 1997-1998 (2) ช่วงปี 2007-09 และ (3) 2015-17 อย่างไรก็ตาม ดัชนี  SOI  ณ ปัจจุบันยังคงเป็นบวก แต่มีทิศทางที่ชะลอลง (ล่าสุด ณ เดือน เม.ย. อยู่ที่ +0.2 จุด) ชะลอลงจากจุดสูงสุดเมื่อเดือน ธ.ค. 2022 ที่ 2.1 เราจึงจะจับตาสัญญาณดัชนีดังกล่าวต่อเนื่อง

 

ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2015 ดัชนี SOI หดลงกว่า 10% โดยหากพิจารณาในรายสินค้าเกษตร จะเป็นการหดตัวของทั้งธัญพืช มันสำปะหลัง ข้าวโพด และข้าว โดยข้าวหดตัวแรงสุดที่ประมาณ 70% ในไตรมาสที่ 2-3 นอกจากนั้น ในช่วงเวลาดังกล่าว ราคาสินค้าเกษตรหดตัวลงเช่นกัน ในระดับ 5-10% โดยเป็นการหดตัวของราคายางเป็นหลัก (ซึ่งสาเหตุหลักเป็นผลจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนในช่วงดังกล่าว หรือ China hard landing ทำให้ความต้องการยางซึ่งเป็นสินค้าหลักในภาคอุตสาหกรรมลดลง) ทำให้รายได้เกษตรกรหดตัวประมาณ 15-20% ในช่วงเวลาดังกล่าว

 

ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า หากดัชนี SOI เข้าสู่แดนลบในไตรมาส 3 และลากยาวไปจนถึงไตรมาส 4 ในปีนี้ อาจทำให้เกิดภาวะ El Nino เกิดในช่วงต้นปี 2024 ซึ่งอาจทำให้ปริมาณการผลิตสินค้าเกษตรหดตัวลงเช่นเดียวกับช่วงปี 2015-17 นอกจากนั้น ต้องติดตามว่าราคาจะปรับลดลงเช่นเดียวกับปริมาณการผลิตด้วยหรือไม่ ซึ่งหากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวแรง และทำให้ราคาสินค้าเกษตรลดลงเช่นกัน ก็อาจทำให้รายได้เกษตรกรปรับลดลงในระดับใกล้เคียงกับช่วง 2015-17 ได้ ทั้งนี้ เรามองว่า พืชผลทางการเกษตรที่จะเสี่ยงต่อภาวะภัยแล้งสูงสุด ได้แก่ ธัญพืช โดยเฉพาะ ข้าวและข้าวโพด

 

ในการคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจหลังการเลือกตั้ง เรามองว่ามีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลขั้วใหม่ที่มีแกนนำ ได้แก่ พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยสามารถร่วมมือกันจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่อาจมีความไม่แน่นอนเรื่องระยะเวลาในการจัดตั้งรัฐบาล อย่างไรก็ตาม เราไม่ปิดโอกาสที่จะเป็นรัฐบาลขั้วผสม ที่นำโดยพรรคเพื่อไทย ภูมิใจไทย และพลังประชารัฐ โดยในรูปแบบนี้ รัฐบาลอาจมีเสถียรภาพและใช้ เวลาจัดตั้งรัฐบาลใหม่เป็นไปตามแผนที่ กกต. วางไว้ แต่เสถียรภาพนอกสภาต่ำ

 

เพื่อเป็นการวิเคราะห์ถึงผลของนโยบายรัฐบาลใหม่ต่อเศรษฐกิจ เราจึงได้พิจารณานโยบายเร่งด่วนของพรรคก้าวไกล โดยเราพบว่า ส่วนใหญ่เป็นนโยบายเชิงสวัสดิการสังคมและความเท่าเทียมเป็นหลัก เช่น พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า การเร่งแปลงเอกสารสิทธิ์ของที่ ดินนิคมสหกรณ์ให้กับประชาชน มาตรการหวย SME รวมถึงโครงการสวัสดิการประชาชน เช่น ผู้สูงอายุ ผู้พิการ เป็นต้น ซึ่งผลต่อเศรษฐกิจอาจไม่มากเท่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในส่วนของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยเรามองว่า หากรัฐบาลพรรคก้าวไกลสามารถผลักดันมาตรการหลักที่หาเสียง เช่น เบี้ยผู้สูงอายุ-เบี้ยผู้พิการ 3,000 บาท เลี้ยงดูบุตร 1,200 บาท เงินแรกเกิด 3,000 บาทแล้ว อาจทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นได้อีก 0.7% จากประมาณการเดิม ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการเริ่มโครงการ และปัจจัยด้านการเมืองด้วย

 

อีกประเด็นที่เรากังวลในประเด็นการเมืองกับเศรษฐกิจ คือความล่าช้าในการจัดทำงบประมาณ ซึ่งจาก Timeline ในการจัดตั้งรัฐบาลที่ทาง กกต. ประกาศ จะทำให้เราได้สภาฯ และรัฐบาลอย่างเร็วที่สุดคือเดือน ก.ค. และ ส.ค. ตามลำดับ ซึ่งทำให้เกิดความล่าช้าในกระบวนการจัดทำงบประมาณอย่างน้อย 2-3 เดือน ทำให้เรามองว่าโอกาสที่จะจัดทำงบประมาณรายจ่ายสำเร็จได้ก่อนปีงบประมาณสิ้นสุด (สิ้นเดือน ก.ย.) ไม่น่าจะเป็นไปได้ โดยอาจล่าช้าประมาณ 1 ไตรมาส ซึ่งจะทำให้งบลงทุนในไตรมาส 4/66 ปีปฏิทิน หรือไตรมาส 1/67 ไม่สามารถอนุมัติใหม่ได้ โดยจากสถิติของสภาพัฒน์ฯ ในอดีต จะพบว่าในช่วงปีเลือกตั้ง การเบิกจ่ายงบลงทุนของภาครัฐจะหายไป 50% เป็นอย่างต่ำ

 

กล่าวโดยสรุป ในภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน แม้จะเป็นทิศทางฟื้นตัวขึ้นจากการเปิดประเทศที่ทำให้การท่องเที่ยวและการใช้จ่ายในประเทศมีมากขึ้น แต่เราจึงมองว่าการล่าช้าในกระบวนการงบประมาณจะเป็นปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ เพิ่มเติมจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ กำลังชะลอลงและภัยแล้งที่มี ความเสี่ยงมากขึ้น

 

ด้วยภาพความเสี่ยงเศรษฐกิจที่มากขึ้น ทาง InnovestX จึงได้มีมุมมองระมัดระวังในการลงทุน โดยเรายังคงคำแนะนำใน 5 หุ้นเด่นในธีม Best of the Best ได้แก่ AU, BBL, BDMS, CPALL และ GULF ที่มีจุดแข็งร่วมกันคือ (1) เป็นผู้นำในแต่ละอุตสาหกรรม (2) มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง (3) กำไรอยู่ในทิศทางขาขึ้นและสูง (Outperform) กว่าตลาด

 

ในท้ายที่สุด เราเชื่อว่าแม้เศรษฐกิจจะมีความเสี่ยงมากขึ้น แต่ก็ยังมีช่องทางให้ลงทุนได้ แต่นักลงทุนจะต้องจับจังหวะและโอกาสให้ดีด้วย

 

ขอให้นักลงทุนทุกท่านโชคดี

 


Author

ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์

ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์
หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.InnovestX บริษัทการเงินการลงทุนในกลุ่ม SCBX