“เวียดนาม” สู่ยุคทอง คาด GDP ปี 68 เติบโต 6.8% ส่งออกขยายตัว 14% แม้อยู่กลางสงครามการค้า

Economics

World Econ

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

“เวียดนาม” สู่ยุคทอง คาด GDP ปี 68 เติบโต 6.8% ส่งออกขยายตัว 14% แม้อยู่กลางสงครามการค้า

Date Time: 7 ม.ค. 2568 13:58 น.

Video

Nokia ทำยังไง? ทุกวันนี้ถึงทำธุรกิจสบายกว่าตอนขายมือถือ | Digital Frontiers

Summary

  • เศรษฐกินเวียดนามยังโตแรง คาด GDP โต 6.8% ส่งออกโตต่อเนื่อง

เวียดนามยังเป็นหนึ่งในประเทศที่ถูกพูดถึงโอกาสการลงทุน และการเติบโตที่สูงมาก เมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่มอาเซียน รวมถึงไทยด้วย ด้วยประชากรที่ยังอยู่ในวัยทำงาน การบริโภคสูง ทำให้เม็ดเงินการลงทุนผ่าน FDI เข้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า เศรษฐกิจเวียดนามในปี 2568 จะเติบโตกว่า 6.8% ซึ่งสูงกว่าไทยเกือบ 1 เท่า จากการส่งออกที่เติบโตถึง 12% ท่ามกลางภาวะสงครามการค้าที่ยังคงรุนแรง


ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า เศรษฐกิจเวียดนามในปี 2568 คาดเติบโตที่ 6.8% เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่คาดว่าจะเติบโต 7.09% ท่ามกลางความเสี่ยงสงครามการค้ารอบใหม่ โดยมีปัจจัยหนุนดังนี้ เม็ดเงิน FDI คาดยังคงเพิ่มขึ้น เนื่องจากมองว่าเวียดนามมีแนวโน้มได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนในสงครามการค้ารอบใหม่


ภาคการส่งออกเวียดนามฟื้นตัวในปี 2567 โดยเติบโตเร่งขึ้นมาที่ 14.32% เนื่องจากการฟื้นตัวของอุปสงค์โลกในภาพรวม นำโดยความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เศรษฐกิจเวียดนามปี 2568 การส่งออกยังคงเติบโตในเกณฑ์ดี แม้ว่าจะโตชะลอมาที่ 12.0% ในปี 2568 ตามภาวะเศรษฐกิจหลักของโลกที่ชะลอลงและมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐในช่วงครึ่งหลังของปี ส่งผลให้การส่งออกเร่งตัวขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี ก่อนภาษีใหม่จะมีผลบังคับใช้


เศรษฐกิจเวียดนามมีความเสี่ยงสูงจากผลกระทบการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ เนื่องจากพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ มากที่สุดในอาเซียน คิดเป็นสัดส่วน 22.4% ของ GDP โดยสินค้าที่เสี่ยงได้รับผลกระทบสูง ได้แก่ เสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ ของเล่น และเครื่องหนัง


นอกจากนี้ สงครามการค้ารอบใหม่อาจทำให้มีกำลังการผลิตส่วนเกินในจีนมากขึ้น ส่งผลให้สินค้าจีนระบายเข้าสู่ตลาดเวียดนามมากขึ้น อาทิ อุตสาหกรรมเหล็ก ตั้งแต่เกิดสงครามการค้า เวียดนามนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กจากจีนเพิ่มขึ้น เช่น เหล็กม้วนรีดร้อน ซึ่งส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดของผู้ผลิตรายใหญ่ในประเทศ เช่น Formosa Ha Tinh Steel Corporation (บริษัทไต้หวัน) และ Hoa Phat (บริษัทเวียดนาม) ลดลงจาก 45% ในปี 2564 มาอยู่ที่ 30% ในปี 2023 ในสงครามการค้ารอบใหม่ คาดการแข่งขันกับผลิตภัณฑ์เหล็กจากจีนจะทวีความรุนแรงมากขึ้น


อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ คาดว่าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์จากจีนจะระบายเข้าสู่ตลาดเวียดนามมากขึ้น โดยเฉพาะสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะทำให้การแข่งขันทวีความรุนแรงมากขึ้น ทั้งนี้ ตลาดเวียดนามมีบริษัทเกาหลีใต้ครองส่วนแบ่งตลาดอยู่ในปัจจุบัน


นอกเหนือจากความเสี่ยงจากสงครามการค้ารอบใหม่ เศรษฐกิจเวียดนามยังเผชิญปัจจัยเสี่ยงจากปัญหาคุณภาพสินทรัพย์ในระบบธนาคารและค่าเงินดองอ่อนค่า โดยตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงซบเซา ส่งผลให้ลูกหนี้ในภาคอสังหาริมทรัพย์ยังมีความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้


ประกอบกับมาตรการช่วยเหลือของธนาคารพาณิชย์แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่นยางิ คาดส่งผลกระทบต่อรายได้ของธนาคาร ทำให้ผลกำไรลดลง และอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อคุณภาพหนี้ ส่วนในประเด็นค่าเงินดอง การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ที่น้อยกว่าที่เคยประเมิน และการไหลออกของเงินทุนในตลาดหุ้นและตลาดหุ้นกู้ของเวียดนามจะเป็นปัจจัยกดดันให้เงินดองมีแนวโน้มอ่อนค่าในระยะข้างหน้า โดยมองว่าค่าเงินดองจะอ่อนค่ามาอยู่ที่ระดับ 25,600 ดอง/ดอลลาร์สหรัฐ ในสิ้นปี 2568


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ