เปิดแนวทางลดภาระคนไทยปี 68 ในยุคเศรษฐกิจไทยฟื้นช้า-ค่าครองชีพพุ่ง

Economics

Thailand Econ

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

เปิดแนวทางลดภาระคนไทยปี 68 ในยุคเศรษฐกิจไทยฟื้นช้า-ค่าครองชีพพุ่ง

Date Time: 20 ม.ค. 2568 06:05 น.

Summary

  • เข้าสู่สัปดาห์ที่ 3 ของเดือน ม.ค.68 ท่ามกลางมุมมองทิศทางเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่เห็น “การฟื้นตัว” ที่ชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น เศรษฐกิจไทยยังต้องเตรียมรับมือพายุลูกใหญ่ที่กำลังก่อตัวจาก “สงครามการค้ารอบใหม่ 2.0” ที่จะป่วนทิศทางการค้า การลงทุนทั่วโลกยิ่งใหญ่กว่ารอบแรก หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ โดนัลด์ ทรัมป์ สาบานตนเข้ารับตำแหน่ง

Latest

แผนรับมืออิทธิฤทธิ์ "โดนัลด์ ทรัมป์" ลดผลกระทบต่อไทย ในฐานะเป้าหมายอันดับ 10

เข้าสู่สัปดาห์ที่ 3 ของเดือน ม.ค.68 ท่ามกลางมุมมองทิศทางเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่เห็น “การฟื้นตัว” ที่ชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น เศรษฐกิจไทยยังต้องเตรียมรับมือพายุลูกใหญ่ที่กำลังก่อตัวจาก “สงครามการค้ารอบใหม่ 2.0” ที่จะป่วนทิศทางการค้า การลงทุนทั่วโลกยิ่งใหญ่กว่ารอบแรก หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ โดนัลด์ ทรัมป์ สาบานตนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในคืนนี้วันที่ 20 ม.ค. ตามเวลาประเทศไทย

ทั้งนี้ มุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ต่างมองว่า นอกเหนือจากการสร้างผลกระทบต่อการส่งออกของไทยแล้ว นโยบายของทรัมป์ยังสร้าง “เงินเฟ้อ” เพิ่มขึ้นด้วย เพราะจะส่งผลต่อ “ราคาสินค้า” และ “ต้นทุนการผลิตสินค้าทั่วโลก” ขณะที่ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายพื้นที่ยังมีผลต่อราคาพลังงาน

ทำให้ช่วงที่ผ่านมาคนไทยต่างเผชิญกับ “ค่าครองชีพ” ที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง สวนทางกับค่าจ้างแรงงาน ซึ่งตัวเลขค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยของแรงงานไทยตามประเภทธุรกิจ ล่าสุด ณ เดือน พ.ย.67 อยู่ที่ 16,176.92 บาทต่อคนต่อเดือน และเมื่อเทียบกับเดือน พ.ย.66 พบว่า ค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยของไทยเพิ่มขึ้นเพียง 541 บาท และหากแยกเป็นแรงงานนอกภาคเกษตร และในภาคเกษตร พบว่า ค่าจ้างเฉลี่ยของแรงงานนอกภาคเกษตรอยู่ที่ 16,577.01 บาทต่อคนต่อเดือน ขณะที่แรงงานภาคเกษตรเฉลี่ยที่ 8,484.36 บาทต่อคนต่อเดือน

ในขณะที่ต้องติดตามมาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าและพลังงานของรัฐว่า จะต่อเนื่องมายังปี 68 อย่างไร รวมทั้งมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย และการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาททั่วประเทศ ว่าจะเพิ่มกำลังซื้อให้คนไทยมากน้อยแค่ไหน เพราะในทางตรงกันข้าม มาตรการกระตุ้นเหล่านี้ จะกระตุกให้ราคาสินค้าและค่าครองชีพเพิ่มขึ้นด้วย โดยทุกครั้งที่จะมีมาตรการอะไรออกมา ราคาสินค้า ข้าวแกง อาหารสำเร็จรูปต่างๆมักขึ้นไปรอก่อนแล้ว

ทิศทางเงินเฟ้อและการดูแลค่าครองชีพของคนไทย จึงเป็นอีกหนึ่งในภารกิจที่สำคัญของรัฐบาล ซึ่ง “กระทรวงพาณิชย์” ถือเป็นแม่งานหลักในเรื่องนี้ และเพื่อให้เห็นมุมมองที่ชัดเจนขึ้นของเงินเฟ้อ และทิศทางค่าครองชีพ ที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในปีนี้ “ทีมเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ได้สัมภาษณ์ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์ที่เกี่ยวข้องมาให้อ่านกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวทางดูแลราคาสินค้า และลดภาระค่าครองชีพของคนไทยในปีนี้

ตั้งเป้าเงินเฟ้อปี 68 โตต่ำ 0.8%

“ทีมเศรษฐกิจ” ขอเริ่มต้นมองภาพความเป็นอยู่ของคนไทยในปี 68 ด้วยการมองภาพเงินเฟ้อของปีนี้ ซึ่งจะสะท้อนภาพกำลังซื้อของคนไทย และกำลังการผลิตของผู้ประกอบการไทยได้เป็นอย่างดี

“นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์” ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ให้ความเห็นเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อว่า เงินเฟ้อทั่วไปปี 67 ขยายตัวได้เพียง 0.40% เมื่อเทียบกับปี 66 ถือว่าต่ำสุดในรอบ 4 ปี นับตั้งแต่ปี 63 ที่เพิ่มขึ้น 0.85% เพราะมีสินค้าสำคัญที่ราคาลดลงจากมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของรัฐบาล ได้แก่ ค่ากระแสไฟฟ้า และน้ำมันดีเซล ซึ่งเป็นต้นทุนส่วนใหญ่ของภาคการผลิต และการขนส่ง แม้อาหารและเครื่องดื่ม โดยเฉพาะอาหารสำเร็จรูป ผลไม้สด และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์จะสูงขึ้น

ส่วนปี 68 กระทรวงพาณิชย์คาดขยายตัว 0.3–1.3% ค่ากลาง 0.8% โดยมีปัจจัยหนุนให้เงินเฟ้อสูงขึ้น คือ เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มดีขึ้นจากการขยายตัวของการลงทุน และการบริโภคเอกชน นักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น และราคาน้ำมันดีเซลที่กำหนดไม่เกิน 33 บาทต่อลิตร สูงกว่าไตรมาส 1 และ 2 ปี 67 ที่ไม่เกิน 30 บาท

ขณะที่ปัจจัยกดดัน คือ ภาครัฐมีแนวโน้มลดค่าไฟฟ้าและตรึงราคาก๊าซ LPG ต่อเนื่อง อีกทั้งฐานราคาผักและผลไม้สดปี 67 อยู่ในระดับสูง เพราะเอลนีโญและลานีญา แต่ปีนี้คาดว่า สถานการณ์ดังกล่าวจะไม่รุนแรง และส่งผลกระทบต่อราคาไม่มากนัก รวมถึงการชะลอตัวของอสังหาริมทรัพย์และการจำหน่ายรถยนต์ในประเทศ ที่จะส่งผลให้ค่าเช่าบ้านและราคารถยนต์เพิ่มขึ้นอย่างจำกัด

สำหรับการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.68 วันละ 7-55 บาท หรือเฉลี่ย 2.9% โดยสูงสุดวันละ 400 บาท และต่ำสุดวันละ 337 บาทนั้น จะส่งผลต่อเงินเฟ้อเพียง 0.15-0.30% ถือว่าค่อนข้างน้อย

“การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ไม่มีผลกระทบต่อเงินเฟ้ออย่างมีนัยสำคัญ เพราะภาครัฐยังมีมาตรการลดค่าครองชีพ รวมทั้งอุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มดีขึ้น จากการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการลดภาระหนี้ครัวเรือน ทำให้การใช้จ่ายประชาชนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้รายได้และกำไรของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องขึ้นราคาสินค้าและบริการ”

ค่าครองชีพพุ่งตามเศรษฐกิจฟื้น

ต่อเนื่องจากสถานการณ์เงินเฟ้อ การดูแลค่าครองชีพของประชาชนถือเป็นงานหลักของกระทรวงพาณิชย์ด้วย ซึ่งนายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน ให้ความเห็นเรื่องค่าครองชีพคนไทยปี 68 ว่า “แม้ปีนี้ เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ แต่ค่าครองชีพจะยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากราคาสินค้าอุปโภคบริโภคมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยเฉพาะสินค้าที่เกี่ยวข้องกับพลังงานและวัตถุดิบนำเข้า”

ส่วนสินค้าเกษตร ราคาจะปรับขึ้นลงตามสถานการณ์ แต่โดยรวมน่าจะทรงตัวจากปี 67 ขณะที่พลังงานคาดว่า ยังคงผันผวนตามสถานการณ์โลก และภาคบริการ คาดว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจและต้นทุนการดำเนินงาน เช่น ค่าเดินทาง ค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียน

โดยปัจจัยที่มีผลต่อราคาสินค้า มีทั้งจากภายนอก ที่ไทยไม่สามารถควบคุมได้ อย่างความผันผวนของเศรษฐกิจโลก จากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือสงครามระหว่างประเทศ ที่จะมีผลให้ราคาพลังงานและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ในตลาดโลกสูงขึ้น, การเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของประเทศยักษ์ใหญ่ เช่น สหรัฐฯ และจีน ที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทย, ราคาวัตถุดิบนำเข้าจากต่างประเทศ

รวมทั้งปัจจัยภายใน เช่น ภัยธรรมชาติ ฤดูกาลผลผลิต หนี้ครัวเรือน เสถียรภาพทางการเมือง ที่อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุน ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปถึงราคาสินค้า รวมถึงนโยบาย หรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ เช่น แจกเงิน 10,000 บาท นโยบายตรึงราคาพลังงาน ลดค่าไฟฟ้า ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ที่จะส่งผลต่อราคาสินค้าและค่าครองชีพ

นอกจากนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย การท่องเที่ยว และการส่งออกที่ดีขึ้น ก็มีผลให้ความต้องการสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการบางประเภท ประกอบกับคาดว่า ต้นทุนการผลิตต่างๆจะยังคงอยู่ในระดับสูง ไม่ว่าจะเป็นราคาพลังงาน วัตถุดิบ ค่าแรง รวมทั้งนโยบายของรัฐ เช่น การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ การปรับโครงสร้างภาษี ก็อาจส่งผลต่อระดับราคาสินค้าและบริการ

แต่กระทรวงพาณิชย์จะพิจารณาให้ปรับขึ้นราคาหรือไม่นั้น นายวิทยากรกล่าวว่า แม้ช่วงหลายปีที่ผ่านมาต้นทุนผลิต ต้นทุนบริหารจัดการ ต้นทุนขนส่งปรับตัวสูงขึ้น แต่กระทรวงพาณิชย์ยังขอความร่วมมือผู้ผลิตให้ตรึงราคาขายเดิมไว้ก่อน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนประชาชน แต่ก็มีบางรายที่รับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไม่ไหวจริงๆ ก็ให้ปรับขึ้นราคาได้เล็กน้อย เพื่อให้ผู้ผลิตอยู่รอดได้ และผู้บริโภคไม่เดือดร้อนมากนัก

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ผู้ผลิตหลายรายได้หารือเพื่อขอปรับขึ้นราคาขาย และขอปรับปรุงโครงสร้างราคาสินค้าของกรม เพราะบางสินค้าโครงสร้างราคาต่างจากของผู้ผลิต และบางสินค้า กรมยังคงใช้โครงสร้างราคาเดิมเมื่อ 10–15 ปีที่แล้ว ทั้งๆที่ต้นทุนต่างๆเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว

“กรมไม่ได้ปิดโอกาสใคร พร้อมหารือกับภาคเอกชนเอาโครงสร้างของแต่ละฝ่ายมาเทียบกัน และปรับปรุงใหม่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน แต่ถ้าสินค้าใด โครงสร้างของกรมถูกต้อง ก็ต้องขอให้คงราคาขายเดิมไว้ก่อน และหากสินค้าใดให้ขึ้นราคาไปแล้ว เมื่อต้นทุนลดลง ราคาสินค้าก็ต้องลดลงด้วย”

พร้อมกันนั้น ยังแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ของกรมให้เป็น Commodity Man เพื่อติดตามภาวะสินค้าโภคภัณฑ์ ที่เป็นวัตถุดิบผลิตสินค้าเป็นรายตัว เช่น ข้าว ปาล์มน้ำมัน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง ฯลฯ โดยให้ติดตามทั้งภาวะในไทยและตลาดโลก ตั้งแต่ปริมาณผลผลิต ความต้องการใช้ ราคา เพื่อให้วางแผนบริหารจัดการไม่ให้เกิดปัญหาจนกระทบต่อราคาสินค้า และประชาชนได้

ดูแลสินค้าเข้มงวดห้ามเอาเปรียบ

ขณะเดียวกันกรมยังติดตามดูแลสถานการณ์ราคาอย่างใกล้ชิด และไม่ให้มีการฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาโดยไม่มีเหตุอันควร โดยเฉพาะสินค้าและบริการ 11 หมวด 57 รายการในบัญชีสินค้าและบริการควบคุมปี 67 ภายใต้ พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ได้แก่

1.กระดาษและผลิตภัณฑ์ เช่น เศษกระดาษ 2.บริภัณฑ์ขนส่ง เช่น ยางรถยนต์และรถจักรยานยนต์ 3.ปัจจัยการเกษตร เช่น ปุ๋ย ยาป้องกันหรือกำจัดศัตรูพืช ฯลฯ 4.ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี คือ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว น้ำมันเชื้อเพลิง 5.ยารักษาโรคและเวชภัณฑ์ 6.วัสดุก่อสร้าง เช่น ปูนซีเมนต์ เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ ฯลฯ

7.สินค้าเกษตรสำคัญ เช่น ข้าวเปลือก ข้าวสาร ข้าวโพด ต้นพันธุ์-ท่อนพันธุ์มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ ฯลฯ 8.สินค้าอุปโภคบริโภค เช่น กระดาษชำระ กระดาษเช็ดหน้า แชมพู ผงซักฟอก ฯลฯ 9.อาหาร เช่น ไข่ไก่ นมผง สุกร-เนื้อสุกร ไก่ น้ำตาลทราย ฯลฯ 10.หมวดอื่นๆ เช่น เครื่องแบบนักเรียน ฯลฯ และ 11.บริการ เช่น บริการรักษาพยาบาล บริการรับชำระเงิน ณ จุดบริการ ฯลฯ

นอกจากนี้ยังมีสินค้าสำคัญอีก 219 รายการที่ติดตามดูแลใกล้ชิด และมีมาตรการกำกับดูแลเข้มงวด แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ Sensitive List (SL) มีความอ่อนไหวเป็นพิเศษ และติดตามสถานการณ์ราคา และภาวะทั้งในและต่างประเทศทุกวัน ซึ่งเดือน ธ.ค.67 มี 17 รายการ เช่น สุกรชำแหละ ไก่สด ไข่ไก่ ปุ๋ยเคมี
อาหารสัตว์ น้ำมันพืช น้ำตาลทราย อาหารสำเร็จรูปบรรจุภาชนะผนึกและปิดสนิท ฯลฯ

“สินค้ากลุ่มนี้จะส่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบราคาจำหน่ายอย่างเข้มงวด และหากเกิดวิกฤติอาจกำหนดมาตรการเพิ่มเติม คือ นำเข้าสู่บัญชีสินค้าและบริการควบคุม ควบคุมราคาจำหน่ายอย่างเข้มงวด กำหนดให้มีการปันส่วนสินค้า จัดหาสินค้าและจัดระบบจำหน่ายให้เพียงพอกับความต้องการ”

กลุ่มที่ 2 Priority Watch List (PWL) ติดตามสถานการณ์ และภาวะสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ซึ่งเดือน ธ.ค.67 มี 3 รายการ คือ อาหารปรุงสำเร็จ นมผง ยาป้องกันหรือกำจัดศัตรูพืชหรือโรคพืช และหากเกิดวิกฤติอาจกำหนดมาตรการเพิ่มเติม คือ เชื่อมโยงให้ผู้จำหน่ายปลีกรับสินค้าจากผู้ผลิต/ผู้จำหน่ายโดยตรง จัดระบบการผลิตและจำหน่าย ป้องกันการกักตุน

และสุดท้าย Watch List (WL) ติดตามสถานการณ์ทุก 15 วัน ตรวจสอบและกำกับดูแลไม่ให้ฉวยโอกาสเอาเปรียบผู้บริโภค และเปิดสายด่วน 1569 รับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภค ซึ่งมี 199 รายการ เช่น ผงชูรส แป้งมันสำปะหลัง เครื่องปรุงรสอาหาร น้ำยาซักผ้า วัสดุก่อสร้าง น้ำมันเชื้อเพลิง ยารักษาโรค ฯลฯ รวมทั้งยังมีบริการที่ติดตามดูแลอีก 23 รายการ เช่น บริการรับส่งสินค้า เอกสาร หรือพัสดุภัณฑ์ บริการซ่อมรถ บริการรักษาพยาบาล บริการให้เช่าที่พัก ค่าชมภาพยนตร์ บริการซื้อขาย และ/หรือบริการขนส่งสินค้าสำหรับธุรกิจออนไลน์ ฯลฯ

พาณิชย์จัดหนักลดรายจ่ายคนไทย

นอกจากนั้น นายวิทยากรยังได้กล่าวถึงแนวทางบรรเทาภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล และนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ด้วยว่า ตั้งแต่เดือน ก.ย.67 ถึงเดือน ม.ค.68 กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัด Campaign ลดราคาสินค้าต่อเนื่อง 5 เดือนพร้อมกันทั่วประเทศ เพื่อลดรายจ่ายประชาชน และสร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการ พร้อมจัดโปรโมชันสินค้าอุปโภคบริโภคราคาพิเศษ จำหน่ายผ่านร้านธงฟ้า ร้านชุมชนกว่า 140,000 ร้านค้า คาดว่า จะลดภาระค่าครองชีพได้ 14,400 ล้านบาท

รวมทั้ง จะจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าเกษตรในราคาประหยัดจากเกษตรกร และผู้ผลิตโดยตรง ผ่านการจัดงานจำหน่ายสินค้าตามเทศกาลต่างๆ เช่น ตรุษจีน, Back to School, เทศกาลกินเจ ฯลฯ หรือผ่านรถโมบายตามจุดต่างๆ โดยยึดตามนโยบายของ รมว.พาณิชย์ ที่สินค้าต้อง “ไม่ขาด ไม่แพง”

และยังเตรียมขายสินค้าธงฟ้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่สามารถเลือกซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น เช่น ข้าวสาร น้ำมันพืช น้ำตาลทราย ไข่ไก่ ฯลฯ รวมถึงสินค้าเกษตรตามฤดูกาล อย่างผลไม้ หอมแดง กระเทียม ฯลฯ ในราคาประหยัดได้ตลอดเวลา จากเดิมที่ซื้อจากงานธงฟ้า หรือรถโมบาย พร้อมกับจะปรับภาพลักษณ์ “ธงฟ้า” ที่ไม่เพียงแต่เป็นงานขายสินค้าราคาประหยัด แต่ยังจะส่งเสริมให้ผู้บริโภค “ฉลาดเลือก ฉลาดซื้อ” โดยไม่ต้องซื้อแบรนด์สินค้าที่เป็นที่นิยม แต่มีคุณภาพดีเหมือนกัน เพื่อสร้างทางเลือกให้ประชาชน และสนับสนุนผู้ประกอบการรายเล็กให้แข่งขันได้

“เชื่อมั่นว่า มาตรการต่างๆที่รัฐบาล และกรมดำเนินการ จะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนได้ ท่ามกลางความท้าทายต่างๆทั้งจากภายในและภายนอกประเทศอย่างในปัจจุบัน” นายวิทยากรกล่าวทิ้งท้าย.


ทีมเศรษฐกิจ

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ