
ในการประชุมนโยบายการเงิน ครั้งที่ 2/2567 คณะกรรมการการเงิน (กนง.) มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.5% ต่อปี พร้อมปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปี 2567 ขยายตัว 2.6% (รวมผลของดิจิทัลวอลเล็ตและมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ)
โดยสาเหตุที่ กนง. ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากมองว่า เศรษฐกิจไทยในภาพรวมยังฟื้นตัวได้ โดยปัจจัยลบ ได้แก่ การฟื้นตัวของภาคการส่งออกที่ล่าช้า การใช้จ่ายภาครัฐที่ลดลง จากการเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้า และแรงกดดันจากสินค้าคงคลังที่ลดลง จะทยอยลดลงในปีนี้ประกอบกับแรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยว ที่ปรับดีขึ้นทั้งในแง่ของจำนวนและค่าใช้จ่ายต่อคนจากนักท่องเที่ยวจีนเป็นสำคัญ โดยในช่วง 3 เดือนแรก มีนักท่องเที่ยวสะสมแล้ว 10 ล้านคน ซึ่งแนวโน้มเป็นไปตามประมาณการที่ตั้งเป้าไว้ที่ 35.5 ล้านคนในปี 2567 ทำให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่สูงขึ้น
ทั้งนี้ปัญหาการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ที่ล่าช้า ส่งผลให้เม็ดเงินลงทุน ในเศรษฐกิจหายไป 0.8% ของ GDP หรือคิดเป็นมูลค่า 140,000 ล้านบาท
กระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อเนื่อง 3 ไตรมาส ทำให้การลงทุนในไตรมาสที่ 4/2566 จนถึงไตรมาส 1/2567 กลายเป็นหลุมอากาศ
สำหรับประเด็นความสอดคล้องระหว่างนโยบายการเงินและการคลัง ปิติ ดิษยทัต เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยว่า จุดยืนนโยบายการเงินในปัจจุบัน เอื้อต่อการเติบโตของเศรษฐกิจแบบมีศักยภาพ ในระยะยาว โดยอัตราดอกเบี้ยและนโยบายทางการเงิน ไม่ได้ฉุดรั้งการเติบโตเศรษฐกิจในการฟื้นตัวเข้าสู่ระดับศักยภาพ แต่ต้องแยกปัจจัยเชิงวัฏจักรออกก่อน ทั้งนี้มาตรการกระตุ้นทางการคลังสอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามปัจจุบันอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ ในภาพรวมไม่ได้สูง ถ้าเทียบกับก่อนโควิด-19 โดยเฉลี่ยในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา พบว่า เศรษฐกิจไทยโตต่ำลงจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง เช่น ภาคการผลิตและส่งออกที่ศักยภาพการแข่งขันลดลง รวมถึงจำนวนประชากรที่ลดลง จากอัตราการเกิดต่ำ
จากภาพรวมเศรษฐกิจที่กล่าวมา กนง. จึงยังไม่เห็นความจำเป็น ที่จะต้องเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย นโยบายการเงินและการคลัง เหมือนกับในช่วงวิกฤตการณ์โควิด-19
หลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เมื่อช่วงเช้า มีมติเห็นชอบหลักการโครงการฯ และเปิดเผยรายละเอียดที่มาของแหล่งเงินดำเนินโครงการ ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ ธปท. กล่าวเสริมว่า ธปท. มีความห่วงใยใน 3 ประเด็น ดังนี้
1.แหล่งที่มาของเงิน เป็นหนึ่งในสิ่งที่ ธปท.กังวล ในฐานะธนาคารแห่งประเทศไทย จะต้องมีความมั่นใจว่าวงเงินที่ได้ หรือเม็ดเงินที่ต้องใช้ ณ วันที่เริ่มโครงการ นั้นมีครบถ้วนตามกฎหมาย พ.ร.บ.เงินตรา และเนื่องจากรัฐบาลใช้แหล่งเงิน ตามมาตรา 28 ซึ่งดำเนินการผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส) จะต้องผ่านกระบวนการ และหลักเกณฑ์ที่ถูกต้อง รวมถึงต้องพิจารณาถึงเสถียรภาพทางการเงิน ซึ่งก็คือสภาพคล่องด้วยจะต้องมีการคุยกันตามขั้นตอนต่อไป
2.กลุ่มเป้าหมาย ซึ่ง ธปท.มีจุดยืนชัดเจนมาตลอดว่า อยากให้ดำเนินโครงการเฉพาะกลุ่ม เนื่องจากสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างคุ้มค่า และมีประสิทธิภาพ ไม่ส่งผลต่อเสถียรภาพทางการคลังมากเกินไป โดยเฉพาะในระยะปานกลาง
3.เสถียรภาพการเงินและการคลังโดยรวม ซึ่งอยากเห็นในเรื่องของแนวทาง ว่าหากมีการใช้จ่ายของภาครัฐเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้หนี้สาธารณะสูงขึ้น ในระยะปานกลางจะมีแนวทางในการดำเนินการอย่างไร
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney