น่าห่วง! คนทั่วโลกถูกมิจฉาชีพ “หลอกโอนเงิน” มากขึ้น ประเทศไทยรั้งอันดับ 6 ของโลก

Economics

Thailand Econ

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

    น่าห่วง! คนทั่วโลกถูกมิจฉาชีพ “หลอกโอนเงิน” มากขึ้น ประเทศไทยรั้งอันดับ 6 ของโลก

    Date Time: 4 ธ.ค. 2566 14:59 น.

    Video

    “ยาดมพันล้าน” เซียงเพียว - เป๊ปเปอร์มิ้นท์ ฟิลด์ | Brand Story Exclusive EP.7

    Summary

    • น่าห่วง! คนทั่วโลกถูกมิจฉาชีพ “หลอกลวงทางการเงิน” มากขึ้น อินเดีย รั้งอันดับ 1 ของโลก ส่วนประเทศไทยติด TOP 6 เหตุเทคโนโลยีก้าวหน้า แต่ก็เป็นช่องให้คนร้ายหลอกเพิ่ม วนเวียน รัก-โลภ-โกรธ-กลัว ยังเป็นสาเหตุหลัก

    Latest


    ปฏิเสธไม่ได้ว่า ยิ่ง “เทคโนโลยี” กระโดดก้าวหน้ามากแค่ไหน คนที่ตกเป็น “เหยื่อ” เกี่ยวกับ ภัยเทคโนโลยี ก็มากขึ้นเท่านั้น สะท้อนจาก ข่าวคนไทยถูกหลอกให้โอนเงิน โดนแอปพลิเคชันดูดเงิน หรือ ถูกจับ เพราะเปิดบัญชีม้า ไม่นับรวมกรณีมิจฉาชีพเชื้อเชิญหลอกให้ลงทุน โดยอ้างว่าได้รับผลตอบแทนสูง ทำให้เราต้องรู้เท่าทันข่าวสาร และกลหลอกของมิจฉาชีพอยู่ตลอดเวลา  

    ข้อมูลจาก The Global State of Scam Report ระบุว่า ปัจจุบัน คนทั่วโลกเผชิญกับภัยทางการเงินเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ย้อนไปปี 2564 ทั่วโลกมีรายงานเกี่ยวกับการถูกหลอกลวงเงินผ่านช่องทางออนไลน์มากถึง 293 ล้านครั้ง และมีมูลค่าความเสียหายสูงถึง 55.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 10.2% 

    พบเป็นการฉ้อโกงด้านการชำระเงินสูงที่สุด สอดคล้องกับรายงานของ ACI Worldwide ปี 2023 ที่พบว่า 1 ใน 5 ของผู้ที่ถูกสำรวจต่างเคยตกเป็นเหยื่อของการฉ้อโกงการชำระเงิน อีกทั้งพบว่าประเทศที่ใช้ระบบการเงินแบบโอน และรับเงินได้ทันทีตลอด 24 ชั่วโมง ยิ่งมีแนวโน้มที่จะมีภัยการเงินสูงตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็น อินเดีย, บราซิล, จีน, ไทย และเกาหลีใต้ 

    5 ประเทศ ถูกมิจฉาชีพหลอกลวงมากที่สุด 

    ทั้งนี้ ข้อมูลเมื่อปี 2565 พบประเทศที่มีอัตราการถูกหลอกลวงสูงที่สุด ดังต่อไปนี้ 

    • อันดับ 1 : อินเดีย
    • อันดับ 2 : ไนจีเรีย 
    • อันดับ 3 : ซาอุดีอาระเบีย 
    • อันดับ 4 : สหรัฐฯ 
    • อันดับ 5 ออสเตรเลีย

    ออสเตรเลีย เจอหลอกลงทุนสูงสุด / สิงคโปร์ ถูกหลอกเอาข้อมูลส่วนตัว จาก ชานมไข่มุก

    ยังมีรายงานว่าชาวออสเตรเลียถูกหลอกลวงคิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวมแล้วกว่า 3.1 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย โดยการหลอกให้ลงทุน ที่มีสัดส่วนมากถึง 66% ของมูลค่าความเสียหายทั้งหมด นอกจากนี้ยังเจอกับ โรแมนซ์สแกม, การหลอกเรียกเก็บเงิน, การหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต และการหลอกให้กดลิงก์ หรือดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน เพื่อควบคุมสมาร์ทโฟนจากระยะไกล 

    ขณะที่ ประเทศสิงคโปร์ นั้นไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ในปี 2565 ชาวสิงคโปร์เผชิญกับภัยการเงิน และการหลอกลวง มูลค่ารวมกว่า 660.7 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ทำให้มีการฟ้องร้องดำเนินคดีถึง 31,728 คดี เพิ่มขึ้นจนแซงหน้าคดีอาชญากรรมประเภทอื่นๆ เคสที่พบมากในช่วงที่ผ่านมาคือ การหลอกให้สแกน QR code เพื่อกรอกแบบสำรวจแล้วจะได้รับชานมไข่มุกฟรี หรืออีกรูปแบบคือสแกนเพื่อจองที่จอดรถ ทั้งสองรูปแบบมีจุดประสงค์เพื่อเข้าถึงสมาร์ทโฟนของเหยื่อ และหลอกดูดเงินนั่นเอง

    ไทยถูกมิจฉาชีพหลอก สูงติดอันดับ 6 ของโลก 

    สำหรับ ประเทศไทย นั้นที่ถูกนับเป็นประเทศลำดับต้นๆ ของโลก ที่เทคโนโลยีทางการเงินพัฒนาอย่างก้าวกระโดด แต่แม้ประชาชนจะได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น แต่กลับเป็นช่องให้ “มิจฉาชีพ” หาวิธีมาหลอกล่อจนเกิดภัยทางการเงินมากเป็นอันดับ 6 ของโลก 

    ส่วน 5 ประเภทคดีที่มีสถิติการแจ้งความออนไลน์มากที่สุดในไทยในปี 2566

    • หลอกให้ซื้อขายสินค้า หรือบริการ 
    • หลอกให้โอนเงินเพื่อทำงาน 
    • หลอกให้กู้เงิน 
    • หลอกให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ 
    • ข่มขู่ทางโทรศัพท์

    ข้อมูลจากสมาคมธนาคารไทยยังเผยว่า จะเห็นได้ว่าภัยการเงินที่เกิดขึ้นทั่วโลกเริ่มจากพื้นฐานเดียวกัน คือ อารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ รัก-โลภ-โกรธ-กลัว แม้เทคโนโลยีจะอำนวยความสะดวกให้มากแค่ไหน แต่หากใช้อย่างขาดสติก็อาจส่งผลเสียกับตัวเราได้ เพราะฉะนั้น อย่ากลัวเทคโนโลยี แต่ขอให้ใช้อย่างมีสติ จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของภัยทางการเงิน

    ขณะในมิติของภาคธนาคาร ไทยอยู่ระหว่างการผลักดันให้ธนาคารต่างๆ ยกระดับระบบตรวจจับ และติดตามธุรกรรมเข้าข่ายผิดปกติได้แบบ near real-time เพื่อระงับธุรกรรมได้อย่างรวดเร็ว คาดว่าจะแล้วเสร็จช่วงปลายปี 2566 นอกจากตรวจจับรับมือแล้ว ภาคธนาคารยังทำมาตรการเชิงป้องกันด้วยการสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ ซึ่งเป็นหัวใจที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างยั่งยืน

    นอกจากนี้ก่อนหน้านี้ยังมีการประกาศบังคับใช้ พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มโทษของผู้กระทำความผิดเปิดบัญชีม้า โดยจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งภายหลังบังคับใช้ พ.ร.ก. ฉบับนี้แล้ว ทำให้คดีร้องเรียนออนไลน์ลดลงจาก 790 เรื่องต่อวัน เหลือ 591 เรื่องต่อวัน อีกทั้งทำให้สามารถอายัดบัญชีได้ทันเพิ่มขึ้นเป็น 10.6% ของมูลค่าที่ขออายัด จากเดิมที่อยู่ที่ 6.5%.


    Author

    กองบรรณาธิการ

    กองบรรณาธิการ