ตั้งเป้าปี 2568 ไทยจะมีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 250,000 ต่อปี และในปี 2573 จะเพิ่มจำนวนการผลิตเป็น 750,000 คันต่อปี หรือ 30% ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมด 2,500,000 คัน เพื่อตอบรับกับโอกาสครั้งใหญ่ที่มาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมยานยนต์ของโลกในรอบ 100 ปี
ขณะเดียวกัน แนวโน้มกระแสความนิยมของคนไทยต่อรถ EV ยี่ห้อต่างๆ ยังเพิ่มขึ้นอย่างน่าสนใจ โดย BOI หรือ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เผย ช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม - กันยายน 2566) มียอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าใหม่จำนวน 50,340 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 7.6 เท่า
สูงที่สุดนับตั้งแต่มีการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าตั้งแต่ปี 2560 ก่อให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า มูลค่ารวม 61,425 ล้านบาท จากโครงการต่างๆ ได้แก่
สำหรับค่ายรถที่ประกาศลงทุนตั้งโรงงานผลิตรถ EV ในไทยมีแล้วหลายราย เช่น
นอกจากนี้ยังมีบริษัทรถ EV สัญชาติยุโรป ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และจีน อีกหลายค่ายที่อยู่ระหว่างพิจารณาเข้ามาลงทุนผลิตรถ EV ในประเทศไทยอีกด้วย
ในด้านมาตรการสนับสนุนการใช้รถพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย หรือ เงินอุดหนุนรถ EV ให้กับผู้ซื้อ และผู้ประกอบการนั้น ล่าสุด 1 พ.ย. 2566 บอร์ดอีวีชุดใหม่ยังได้เห็นชอบมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าระยะที่ 2 หรือ EV 3.5 ที่จะใช้ในช่วงระยะเวลา 4 ปี (พ.ศ.2567-2570) แล้ว โดยจะครอบคลุมสิทธิทั้งสำหรับรถยนต์นั่ง รถกระบะไฟฟ้า และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเงื่อนไขมาตราการ EV 3.5 นั้นจะได้รับการอุดหนุนคร่าวๆ ดังนี้
ขณะเดียวกัน มาตรการ EV 3.5 จะลดภาษีนำเข้าไม่เกิน 40% สำหรับการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูป (CBU) ในช่วง 2 ปีแรก (พ.ศ.2567-2568) กรณีเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท และลดอัตราภาษีสรรพสามิตจากร้อยละ 8 เหลือร้อยละ 2 สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าราคาไม่เกิน 7 ล้านบาทอีกด้วย
จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่าเป้าหมายที่ประเทศไทยตั้งไว้เริ่มเห็นเค้าลางความเป็นไปได้ และคาดว่าจะมีบทบาทต่อเศรษฐกิจสูง จากการที่อุตสาหกรรมรถ EV เป็น 1 ใน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ ที่จะถูกส่งเสริมในแง่การลงทุนใหม่ๆ ก่อเกิดการจ้างงาน และพัฒนาด้านเทคโนโลยีไปพร้อมๆ กัน
SCB EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ ยังประเมินนัยต่อเศรษฐกิจไทยจากการก้าวไปเป็น Regional EV hub ว่า ไม่เพียงแต่จะมาจากเข้ามาลงทุนของต่างชาติ และภาคการส่งออกเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับมูลค่าเพิ่มจากภาคธุรกิจที่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรม EV ที่กำลังทยอยเกิดขึ้นอย่างครบวงจรภายในประเทศอีกด้วย ทั้งอุตสาหกรรมผลิตแบตเตอรี่ สถานีอัดประจุไฟฟ้า รวมถึงกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนบางประเภท ซึ่งเดิมเป็น Supplier ให้กับผู้ผลิตรถสันดาป
อย่างไรก็ดี แม้ว่าการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าจะเป็นโอกาสต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องในห่วงโซ่อุปทาน แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่ากลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วน และอุปกรณ์รถยนต์บางกลุ่มมีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบจากแนวโน้มความต้องการที่ลดลง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบส่งกำลัง และเชื้อเพลิง
โดย SCB EIC คาดว่า มูลค่าตลาดของอุตสาหกรรมเหล่านี้จะปรับลดลง 3.8 พันล้านบาท หรือราว 10% จากปี 2022 หากรถ EV สามารถครองส่วนแบ่งตลาดได้ถึง 15% ของยอดขายรถยนต์ทั่วโลก ภายในปี 2025
ทั้งนี้ SCB EIC ระบุว่า สำหรับความท้าทายสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในระยะข้างหน้า คือ การเร่งพัฒนาระบบนิเวศน์ยานยนต์ไฟฟ้า และการส่งเสริมภาคธุรกิจให้สามารถปรับตัวได้สอดรับกับความต้องการใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นจาก 2 ประการใหญ่ๆ ดังนี้
ขณะที่กลุ่มเปราะบางควรมีแนวทางการขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศ อาทิ ชิ้นส่วนสำหรับยานยนต์เชิงพาณิชย์ ซึ่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่ EV คาดว่าจะเกิดขึ้นช้ากว่า รวมถึงการเจาะตลาดอะไหล่ (REM) ซึ่งอุปสงค์ยังเติบโตได้ตามอายุการใช้งานรถยนต์ที่ยาวนานขึ้นในหลายประเทศ.
ที่มา : SCB EIC