“สุวัจน์” เปิดนโยบายพรรคชาติพัฒนากล้า เน้นเป็น พรรค “นิช มาร์เกต” ชูแก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยเฉพาะมองการเลือกตั้ง ปี 2566 ปัญหาเศรษฐกิจเป็นจุดเดิมพันการฟื้นประเทศ พร้อมจัดกลุ่มนโยบายรวม 12 เรื่อง พร้อมจัดกลุ่มเฉดสีเศรษฐกิจแต่ละด้าน ตั้งเป้าสร้างงานเพิ่มเม็ดเงินใหม่ 5 ล้านล้านบาท
นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า เปิดเผยว่า ขณะนี้ปัญหาเศรษฐกิจเป็นเรื่องใหญ่ ทำให้มองการเลือกตั้งใหญ่ทั่วประเทศปี 2566 ต่างจากปี 2562 ที่ในตอนนั้นอยู่บนฐานความขัดแย้ง ผลการเลือกตั้งที่ออกมาจึงสะท้อนการแก้ปัญหาความขัดแย้ง ขณะที่ในปี 2566 แม้ความขัดแย้งยังมีอยู่แต่ปัญหาที่ใหญ่กว่าคือ ปัญหาเศรษฐกิจ ฉะนั้นคนมีสิทธิ์เลือกตั้งก็จะดูว่าใครจะมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้ได้บ้าง
“ผมอยู่ในการเมืองมา 30 ปี คิดว่าสถานการณ์เศรษฐกิจตอนนี้หนักที่สุด เพราะมีปัจจัยทั้งจากในและนอกประเทศ ความเสียหายทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นพร้อมกันทั่วโลก เช่น ช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 ตลอด 2 ปี ทุกประเทศในโลกกู้เงินมาแก้ปัญหากันหมด ก่อให้เกิดภาระหนี้สินของประเทศทั่วโลก นำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อ จนพูดกันว่าจะเกิดเศรษฐกิจถดถอยยังมีสงครามระหว่างยูเครน-รัสเซียมาซ้ำเติม จนเกิดผลกระทบต่อราคาน้ำมัน และราคาก๊าซธรรมชาติที่แพงขึ้น จนมาเร่งให้เกิดเงินเฟ้อ ขณะที่ทุกคนกรอบจากภาวะหนี้สิน และยังมีสงครามการค้าอีก”
“พรรคชาติพัฒนากล้า จึงเน้นนโยบายเศรษฐกิจมากกว่านโยบายอื่น เราไม่ใช่พรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่ต้องครอบคลุมทุกมิติของการแก้ปัญหาของประเทศ เราจึงเป็นเหมือน นิช มาร์เกต เป็นพรรคการเมืองที่มีกลุ่มเฉพาะ มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ เหมือนเป็นหมอก็โรคเฉพาะทาง คือ จะเน้นนโยบายเศรษฐกิจ หลังจากช่วยกันคิด 3 เดือน เอาปัญหามากางดู จึงได้นโยบายออกมา 12 เรื่อง”
นายสุวัจน์กล่าวว่า วันนี้จะทำธุรกิจแบบเดิมไม่ได้ ต้องมาจัดสร้างแพลตฟอร์มเศรษฐกิจกันใหม่ หาจุดแข็งของประเทศไทยให้เจอ นโยบายแรก ต้องหาเงินเข้าประเทศให้ได้ 5 ล้านล้านบาท โดยแบ่งเศรษฐกิจเป็นเฉดสี อะไรที่ยังไม่เป็นกอบเป็นกำ ก็หยิบมาทำให้ชัดเจน เช่น เศรษฐกิจสีเหลือง ได้แก่ ซอฟต์ เพาเวอร์ ทั้งกีฬา ดนตรี ศิลปะ ที่ต้องทำให้เป็นเศรษฐกิจที่ชัดเจน โดยจะต้องมีการตั้งกองทุนซอฟต์ เพาเวอร์ 10,000 ล้านบาทขึ้นมาสนับสนุน
ขณะที่เศรษฐกิจสีเขียว คาร์บอน เครดิต อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ควรหยิบมาทำให้เป็นกิจจะลักษณะ หรือเศรษฐกิจสีเทา อะไรที่ยังไม่ถูกต้องตามกฎหมายหรือคลุมเครือ ที่เกี่ยวกับชีวิตกลางคืน แรงงานต่างด้าว หวย ก็หยิบมาทำให้ถูกกฎหมาย หรือเศรษฐกิจสีขาว ในเรื่องของการท่องเที่ยว การดูแลสุขภาพ ท่องเที่ยวสายมู หรือเศรษฐกิจสีเงิน มีผู้สูงอายุ 12 ล้านคน ก็ทำให้เป็นเศรษฐกิจได้ เช่น หมู่บ้านผู้สูงอายุ ศูนย์ดูแลสุขภาพ การออกแบบอารยสถาปัตย์ ทั้งหมดนี้หากทำให้ชัดเจนจะสร้างรายได้การจ้างงาน 5 ล้านล้านบาท
นายสุวัจน์กล่าวว่า เรื่องที่สองที่พูดถึงกันมากคือ เครดิตบูโร วันนี้นักธุรกิจไม่มีเครดิตแต่ต้องการต่อยอดทางธุรกิจได้รับผลกระทบ 5 ล้านราย เพราะในช่วงโควิด-19 มีการจ่ายหนี้ไม่ตรงบ้าง จึงต้องการให้มีการปรับปรุงระบบเครดิตบูโรในรูปแบบของการจัดให้มีเครดิต สกอริ่ง ที่รายงานด้านดีๆด้วย เช่น เขายังจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟได้ ยังผ่อนชำระได้หรือมีเงินเดือนที่สูงกว่าค่าใช้จ่าย เพื่อให้มีโอกาสกลับมาสร้างเนื้อสร้างตัวกันใหม่
ส่วนเรื่องที่สาม คือ การเพิ่มเงินให้ประชาชนให้มีภาระภาษีน้อยที่สุด ให้คนเงินเดือน 40,000 บาท ไม่เสียภาษีเงินได้บุคลธรรมดา ตรงนี้คำนวณดูแล้ว 3 กรมภาษีเก็บรายได้ปีละ 3 ล้านล้านบาท แต่นโยบายนี้จะช่วยคนเกือบ 4 ล้านคน มีผลกระทบเป็นเงิน 20,000 กว่าล้านบาท เทียบแล้วน้อยมากไม่ถึง 1% ของรายได้จัดเก็บรวม แต่ช่วยเติมเงินในกระเป๋าที่จะมากระตุ้นเศรษฐกิจทางอ้อม
สำหรับเรื่องที่สี่ คือ การลดค่าใช้จ่ายของประชาชน จากน้ำมันแพง ก๊าซแพง ค่าไฟฟ้าแพง จึงมีนโยบายรื้อโครงสร้างพลังงาน ต้องมีการคิดสูตรค่าการกลั่นที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงที่เป็นธรรมกับผู้บริโภค แทนการไปอิงกับค่าการกลั่นของสิงคโปร์ ส่วนไฟฟ้าควรลดปริมาณไฟฟ้าสำรองจากปัจจุบัน 40% ของกำลังการผลิต 53,000 เมกะวัตต์ ลงเหลือ 20% ซึ่งยังเป็นสัดส่วนที่สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนได้ เพราะปัจจุบันมีความต้องการใช้จริง 33,000 เมกะวัตต์ และการมีไฟฟ้าสำรองสูงเกินไปกระทบกับค่าไฟฟ้าผันแปร (เอฟที) ที่ประชาชนต้องจ่าย ตลอดจนการปรับไปใช้พลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์และพลังงานลมให้มากขึ้นเพราะมีราคาถูกกว่าก๊าซธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม ต้องเร่งเดินหน้าเจรจากับกัมพูชาเพื่อขุดหาก๊าซธรรมชาติ ในโครงการร่วมในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นสัญญามาตั้งแต่ปี 44 หรือกว่า 20 ปีแล้ว ซึ่งจะได้ก๊าซธรรมชาติไม่น้อยกว่าแหล่งเอราวัณ จะหมดห่วงเรื่องที่ก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้จากอ่าวไทย บนบก และพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (เจดีเอ) ที่จะหมดในอีก 10 ปี
นายสุวัจน์กล่าวต่อไปด้วยว่าเรื่องที่ห้าต้องช่วยเหลือภาคเกษตร เป็นจุดแข็งของประเทศ ข้าว อ้อย ยาง มันสำปะหลัง ปาล์มข้าวโพด ต้องมีแผนแม่บทในอีก 5 ปี แทนที่จะส่งออกสินค้าเกษตรแบบเดิมที่เป็นวัตถุดิบ ต้องเพิ่มรายได้โดยเอาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมมาเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร เช่นเดียวกับซอฟต์ เพาเวอร์ นโยบายท่องเที่ยว ก่อนโควิด-19 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 40 ล้านคน อยู่คนละ 10 วัน ค่าใช้จ่ายวันละ 5,000 บาท หรือทริปละ 50,000 บาท สมมติทำนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็น 70-80 ล้านคน และให้อยู่นานขึ้นเป็น 12 วัน และให้จ่ายเพิ่มเป็นวันละ 6,000 บาท ก็เพิ่มค่าใช้จ่ายนักท่องเที่ยวจากเดิม 2 ล้านล้านบาทต่อปี เป็น 5 ล้านล้านบาทได้
สุดท้ายคือ นโยบายมอเตอร์เวย์ทั่วไทย ทั่วทิศ 2,000 กิโลเมตร คนก็รอมอเตอร์เวย์โคราชเมื่อใดจะเปิด ถ้าเปิดการลงทุนการท่องเที่ยวจะไปอีสานบางใหญ่-กาญจนบุรีก็ยังไม่เปิด จึงควรมีนโยบายมอเตอร์เวย์ทั่วไทย ไปเหนือ อีสาน ตะวันออก และลงใต้ ควบคู่กับถนน 4 เลน เป็นจุดเชื่อมโยงการท่องเที่ยวทั่วประเทศ.