“อาคม” ย้ำคนละครึ่งเฟส 5 ได้วงเงินคนละ 800 บาท เหมาะสมแล้ว เหตุเศรษฐกิจกำลังฟื้น กำลังซื้อประชาชนเริ่มกลับมา รัฐต้องลดการช่วยเหลือ พร้อมสั่ง “บสย.” เดินหน้าช่วยเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินเต็มที่ ขณะที่ “กอบศักดิ์” แนะไทยรับมือวิกฤติเศรษฐกิจโลก ที่ลากยาวไปอีก 1-2 ปีให้ดี
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยถึงโครงการคนละครึ่ง เฟส 5 ที่รัฐบาลให้วงเงินใช้จ่ายคนละ 800 บาทผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.-31 ต.ค.นี้ ว่าวงเงินคนละ 800 บาท ถือว่าเหมาะสม ที่รัฐบาลจะช่วยเหลือแล้ว เพราะขณะนี้เศรษฐกิจอยู่ระหว่างการฟื้นตัว กำลังซื้อกำลังกลับมา ดังนั้น ความช่วยเหลือจากรัฐบาลจะต้องลดลง แม้ค่าครองชีพสูงขึ้นจากราคาน้ำมันและราคาสินค้าที่สูงขึ้น แต่รัฐบาลให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ ทั้งเรื่องค่าไฟฟ้า ค่าแก๊สหุงต้ม และก๊าซธรรมชาติเหลว (เอ็นจีวี) อีกทั้งกระทรวงพลังงาน และกระทรวงพาณิชย์ได้เข้ามาดูแลราคาพลังงานและราคาสินค้าแล้ว
“มาตรการช่วยเหลืออื่นๆจะมีเพิ่มเติมหรือไม่ ต้องรอให้คณะอนุกรรมการติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์วิกฤติเศรษฐกิจ ที่มีปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน พิจารณา วิเคราะห์ และนำเสนอคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อบริหารสถานการณ์วิกฤติเศรษฐกิจ ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พิจารณาก่อน”
นอกจากนี้ นายอาคมยังได้กล่าวถึงการช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก (เอสเอ็มอี) ในงานครบรอบ 30 ปี บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ว่าได้มอบนโยบายให้ บสย. สานต่อ 3 ภารกิจหลักต่อไป ได้แก่ 1.เป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้กับเอสเอ็มอี เพื่อให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนอย่างทั่วถึง 2.เชื่อมต่อองค์ความรู้ด้านวิชาการกับนวัตกรรมต่างๆเพื่อให้ลูกค้า และผู้เข้ารับคำปรึกษา นำไปใช้ประโยชน์ และ 3.ก้าวข้ามข้อจำกัดการช่วยเหลือ ไม่เน้นช่วยเหลือเฉพาะเอสเอ็มอีรายย่อย แต่ให้ช่วยเหลือเอสเอ็มอีขนาดใหญ่ที่มีวงเงินตั้งแต่ 200 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 1,000 ล้านบาทด้วย เพราะมูลค่าของธุรกิจเอสเอ็มอี มีสัดส่วน 1 ใน 3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) และมีผู้ประกอบการมากถึง 3 ล้านราย
“ขณะนี้ เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัว หรือเทกออฟแล้ว การปล่อยสินเชื่อให้ธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตในอนาคต และมี บสย.ค้ำประกันสินเชื่อ จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างต่อเนื่องได้”
สำหรับกรณีที่ บสย.ได้ขอรับการสนับสนุนโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Port Guarantee Scheme 10 (PGS10) วงเงิน 150,000 ล้านบาท และโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Micro Entrepreneurs (โครงการไมโคร) 35,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนให้มากที่สุดนั้น ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา หากไม่มีการปรับปรุงรายละเอียดโครงการก็เตรียมเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในเร็วๆนี้
ด้านนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า วิกฤติเศรษฐกิจโลกครั้งนี้เป็นวิกฤติที่ประหลาด และเป็นมรสุมที่รุนแรงรออยู่ มาจาก 3 ทวีป คือ ยุโรป อเมริกา และเอเชีย ได้แก่ จีน ฉะนั้นเศรษฐกิจโลกถดถอยครั้งนี้จะหนักหน่วง ประกอบกับมีปัญหาพลังงาน อาหาร ความผันผวนของตลาดการเงิน อีกทั้งมีการมองว่าประเทศตลาดเกิดใหม่ จะมีโอกาสเกิดวิกฤติในช่วง 2 ปีจากนี้ ประเทศไทยจะก้าวผ่านวิกฤติในอีก 1-2 ปีข้างหน้าไม่ง่าย ต้องเตรียมรับมือ
“อย่าปล่อย 1 ปีจากนี้ให้สูญเปล่า หากเตรียมการดีจะผ่านไปได้ อีกทั้งในวิกฤติรอบนี้ ไทยโชคดี น่าจะโดนหางของมรสุม เพราะไทยมีคนในภาคเกษตร 20 ล้านคน ภาคท่องเที่ยว 10 ล้านคน มาฟื้นจังหวะเหมาะสมและภาคส่งออก ซึ่งมีคนเกี่ยวข้อง 35 ล้านคนขยายตัวได้ดี เท่ากับมีส่วนทำได้ดีครึ่งหรือค่อนประเทศแล้ว”.
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง