นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในการประชุม ครม. นัดพิเศษในวันที่ 3 เม.ย.นี้ กระทรวงการคลังจะเสนอกรอบมาตรการเยียวยาและดูแลเศรษฐกิจจากผลกระทบการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ชุดที่ 3 ที่ได้หารือร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยมาตรการที่จะออกมานั้นจะดูแลเศรษฐกิจในช่วง 6 เดือนต่อจากนี้ ซึ่งจะครอบคลุมทั้งหมด 4 กลุ่ม ดังนี้
1.การดูแลและเยียวยาประชาชนอย่างต่อเนื่อง
2.ผู้ประกอบการ
3.เกษตรกรซึ่งเป็นประชากรฐานใหญ่ของประเทศ
4.ดูแลเสถียรภาพตลาดเงินและตลาดทุนไทย
“เมื่อ ครม.นัดพิเศษมีมติให้ความเห็นชอบ ทั้งเรื่องมาตรการและเงินงบประมาณก็จะเสนอ ครม.วันที่ 7 เม.ย.นี้ เพื่อที่จะนำมาตรการชุดที่ 3 ออกมาใช้ทันที”
นายสมคิดกล่าวว่า รัฐบาลจะดูแลประชาชนทุกกลุ่ม ผู้ประกอบการ เกษตรกร รวมถึงดูแลเสถียรภาพของตลาดเงินและตลาดทุนให้เดินหน้าต่อไปได้ ส่วนกรณีที่หลายประเทศใช้เงินงบประมาณในระดับสูงถึง 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) มาใช้ในการดูแลเยียวยาเศรษฐกิจ ขณะที่ประเทศไทยจะก้าวไปถึงขนาดนั้นหรือไม่ นายสมคิดกล่าวว่า ต้องรอดู โดยในการหาเงินเพื่อนำมาใช้ในการดูแลเศรษฐกิจรอบใหม่นี้สามารถดำเนินการได้ทั้งการใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงิน และพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) โอนงบปี 63
ด้านนายอุตตม สาวนายน รมว.คลังกล่าวว่า มาตรการที่จะออกมาจะเน้นดูแลการบริโภคและการจับจ่ายใช้สอยในประเทศ ดูแลประชาชนทุกภาคส่วน และผู้ประกอบการที่รายได้ลดลง ลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างงาน รวมถึงดูแลระบบเศรษฐกิจให้มีสภาพคล่อง ผ่านธนาคารพาณิชย์ และระบบตลาดทุนและตลาดเงินไทย เพื่อเป็นกลไกในการรองรับระบบเศรษฐกิจ ทั้งนี้ แหล่งเงินที่จะนำมาใช้มีทั้งเงินงบประมาณประจำปี และเงินที่สำนักงบประมาณได้บริหารจัดการโดยให้หน่วยงานต่างๆใช้วิธีปรับงบประมาณเพื่อนำมาต่อสู้กับโควิด-19 ส่วนอีกวิธีคือออก พ.ร.ก.กู้เงิน ซึ่งวงเงินจะเป็นเท่าไหร่นั้นต้องขอหารือให้เรียบร้อยก่อน
“มาตรการชุดใหม่จะครอบคลุมเรื่องการดูแลประชาชน ภาคเศรษฐกิจ ผู้ประกอบการ และดูแลระบบตลาดการเงิน เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่าระบบเศรษฐกิจของไทยยังมั่นคง โดยรัฐบาลต้องมองไปข้างหน้า เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจกระทบน้อยที่สุด ซึ่งรัฐบาลจะมีมาตรการสนับสนุน ส่งเสริมการจ้างงานระดับฐานรากและชุมชนโดยร่วมกับกระทรวงอื่นๆ ส่วนคลังจะดูเรื่องเงินที่จะนำไปใช้”.