อีอีซีภายใต้รัฐบาลชุดใหม่ ความท้าทายการบริหารงานพรรคร่วมรัฐบาล

Economics

Thailand Econ

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

อีอีซีภายใต้รัฐบาลชุดใหม่ ความท้าทายการบริหารงานพรรคร่วมรัฐบาล

Date Time: 5 ส.ค. 2562 05:01 น.

Summary

  • การแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา ในนโยบายเร่งด่วน 12 ด้าน มีนโยบายรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) 4 ด้าน ได้แก่

Latest

หวังดันจีดีพีโตทะลุเป้า 3.5% คลังชง 5 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสุดลิ่ม

การแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา ในนโยบายเร่งด่วน 12 ด้าน มีนโยบายรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) 4 ด้าน ได้แก่ 1.การวางรากฐานเศรษฐกิจประเทศ 2.การลงทุนในอีอีซี 3.สร้างผู้ประกอบการอัจฉริยะ 4.ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล

และในนโยบายหลัก 12 ด้าน มีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอีอีซี 5 ด้าน ได้แก่ 1.พัฒนาเศรษฐกิจความสามารถในการแข่งขัน 2.พัฒนาอีอีซีต่อเนื่อง 3.พัฒนาเมืองอัจฉริยะ 4.การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ 5.ยกระดับโครงข่ายระบบไฟฟ้า-พลังงาน

นโยบายของรัฐบาลเป็นการรับประกันให้เห็นแล้วว่า รัฐบาลประยุทธ์ 2 จะสานต่อโครงการอีอีซีจากรัฐบาลประยุทธ์ 1 อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม “ทีมเศรษฐกิจ” ได้ขอเปิดมุมมอง ดร.คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หน่วยงานหลักที่บริหารและกำหนดทิศทาง การพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ภายใต้ข้อซักถามว่า มีข้อกังวลหรือมองสิ่งใดเป็นอุปสรรคในการทำงานภายใต้รัฐบาลปัจจุบัน ที่มีการปรับเปลี่ยนองคาพยพในส่วนของรัฐมนตรีที่กำกับดูแลโครงการซึ่งมาจากพรรคร่วมรัฐบาล?

มั่นใจนายกฯให้ความสำคัญ

เรื่องเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ได้ทำงานใกล้ชิดรัฐบาลมาตลอด และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม รู้รายละเอียดดี และยังนั่งเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายพัฒนาเขตพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ขณะที่ทีมรัฐมนตรีที่ทำงานอีอีซีกันมาเป็นทีมเดิมทั้งหมด

ขณะเดียวกัน สกพอ.ขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี และมีกฎหมายเขียนว่าให้ตั้งคณะกรรมการบริหารได้ จึงขอนายกรัฐมนตรีว่าให้คนเดิมคือนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง มาเป็นประธานคณะกรรมการบริหารอีอีซี จะช่วยให้มีคนที่กลั่นกรองเรื่องไปถึงนายกฯ คือ นายอุตตมคนเดิม ขณะที่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ก็ยังช่วยกำกับอยู่เช่นเดิม

“อีอีซีหลังจากเดือน ส.ค.นี้ทำโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่วางไว้คงจะเข้าสู่กระบวนการ ได้ตัวภาคเอกชนที่มาดำเนินการเสร็จเรียบร้อย กระบวนการทำงานก็จะเปลี่ยนไปทำเรื่องการลงทุน อุตสาหกรรม การดูแลพื้นที่ การสร้างเมืองใหม่”

ฉะนั้นภายในปลายปีนี้ นโยบายหลักๆจะเสร็จแล้ว โดยใช้เวลาทั้งสิ้น 3 ปีถือว่าภารกิจวางแผนแนวคิด ที่วางไว้สำหรับอนาคตจบ ต่อจากนั้นอีอีซีก็จะเข้าสู่เฟสใหม่ เรียกว่า ทุกอย่างวางลงตัวแล้ว ส่วนจะทำได้ดี ทำได้สวยหรูแค่ไหน ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ภาพใหญ่ลงตัวหมดแล้ว

เบื้องหลังแนวคิดช่วยดันจีดีพี

“เบื้องหลังของการจัดทำโครงการอีอีซีขึ้นมาจริงๆ ผมไม่เคยพูดมาก่อน มาจากที่ผมได้ช่วยรองนายกฯสมคิด ดูเรื่องการบริหารเศรษฐกิจมหภาค ตั้งแต่อยู่กระทรวงการคลัง ก็ได้เตือนว่าประเทศไม่ไหวแล้ว การลงทุนก็ไม่มี ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี ก็เหลือ 3% ก็เลยทำการศึกษาขึ้นมาว่าประเทศไทยต้องมี 10 อุตสาหกรรมใหม่ ส่วนอีอีซีก็มาจากอีสเทิร์นซีบอร์ดที่คนรู้จักอยู่แล้ว พอปั้นผลการศึกษาเสร็จ คนที่มาช่วยทำอีก 2 คนคือ นายกานต์ ตระกูลฮุน และนายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ จากนั้นก็บอกนายกฯว่าต้องทำเป็นกฎหมาย เพราะถ้าไม่มีกฎหมาย โครงการนี้ก็อาจจะหายไป”

นายคณิศกล่าวว่า วิธีการเขียนกฎหมายอย่างเรื่องผังเมือง ก็ให้กรมโยธาธิการและผังเมือง ซึ่งมีความเป็นมืออาชีพมากที่สุดในประเทศเข้ามาทำงาน หรือเรื่องการส่งเสริมการลงทุน ก็ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เข้ามาทำงาน จึงกลายเป็นทุกๆคนเป็นเจ้าของ ส่วน สกพอ.จะทำตัวเป็นแค่ผู้ประสานเท่านั้น จากนั้นกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ก็เริ่มเข้ามาและเริ่มปรับทิศทาง เช่น เรื่องการศึกษาก็ปรับมาพัฒนาคนตามที่ตลาดต้องการ

อีก 5 ปีเห็นการเปลี่ยนแปลง

สำหรับอนาคตของอีอีซีในระยะ 5 ปี โครงการที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานหลัก 5 โครงการจะดำเนินการเสร็จ ขณะนี้ผ่านไปแล้ว 1 ปี จึงเหลือเวลาอีก 4 ปี โดยรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เส้นทางดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา จะเสร็จพร้อมกับเมืองการบินภาคตะวันออกและการขยายสนามบินอู่ตะเภาในปี 2566

สำหรับจำนวนผู้โดยสารรถไฟขณะนี้คนในพื้นที่ที่มีทะเบียนบ้าน มีอยู่ 3 ล้านคน แต่คนที่เข้าไปทำงานในพื้นที่มีอีก 1 ล้านคน ขณะที่การสร้างงานภายใน 5 ปีจะมีเพิ่มขึ้นอีก 400,000 คน จากการลงทุนของภาคอุตสาหกรรม 500,000 ล้านบาท

ส่วนที่มีภาคเอกชนห่วงจำนวนผู้โดยสารรถไฟความเร็วสูงจะมีไม่มาก แค่วันละ 65,000 คน นั้นเจ๊งแน่นอน ต้องอธิบายว่าคนส่วนใหญ่คิดว่ารถไฟเส้นนี้ ไม่ใช่เป็นรถไฟที่จะรับส่งแค่คนไประยอง เพราะจริงๆมีจำนวนคนที่จะโดยสารเครื่องบินมากรุงเทพฯ แต่คนแน่นลงกรุงเทพฯไม่ได้ และมีนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศที่ไปพัทยาอยู่แล้วปีละ 10 ล้านคน ต่อไปไม่ต้องบินไปลงกรุงเทพฯหรอก ก็บินมาลงสนามบินอู่ตะเภาเลย และนั่งรถไฟมากรุงเทพฯไม่ถึงชั่วโมง ขณะเดียวกัน ถนนที่วิ่งไปอีสเทิร์นซีบอร์ดในปัจจุบันมีผู้ใช้บริการวันละ 400,000 คน ทั้งเที่ยวและทำงาน และมีสภาพรถติด ตามที่คาดการณ์ไว้ขอเพียงคนกลุ่มนี้ 10% หรือ 40,000 คนมาใช้รถไฟความเร็วสูงในอีก 5 ปีข้างหน้า รวมๆแล้วก็มีผู้โดยสารวันละเป็นแสนคน

เปิดความคืบหน้า 5 โครงการ

สำหรับความคืบหน้า 5 โครงสร้างพื้นฐานหลัก 1.รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่า 182,524 ล้านบาท รัฐลงทุน 65% เอกชนลงทุน 35% เปิดดำเนินการปี 2566 เป็นโครงการของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)

ขณะนี้จัดทำสัญญาเสร็จแล้ว รอกำหนดวันเซ็นสัญญากับภาคเอกชนที่คัดเลือกเสร็จเรียบร้อยแล้วคือ กลุ่มกิจการร่วมค้าเครือเจริญโภคภัณฑ์และพันธมิตร

อย่างไรก็ตาม ทางสำนักงานอัยการสูงสุดให้ความเห็นที่มีประเด็นต้องรับฟังคือ เรื่องของการส่งมอบที่ดิน ที่การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ต้องส่งมอบตามกำหนดเวลา ซึ่งขณะนี้มี 2-3 แปลง คือที่ดิน 800 ไร่ ที่ฉะเชิงเทรา ตกลงราคาเรียบร้อยแล้วอยู่ระหว่างการออกพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินจะส่งมอบได้ภายใน 2 ปี และที่ดินของ รฟท.แถบดอนเมือง ที่มีคนบุกรุกเข้าไป 200 ราย เบื้องต้นตกลงจ่ายค่าชดเชยให้ 200 ล้านบาท กระบวนการนี้จะต้องเคลียร์ให้จบภายใน 1 ปี

ส่วนที่มีความเป็นห่วงว่าจะเกิดเหตุการณ์ค่าโง่แบบโครงการโฮปเวลล์หรือไม่นั้น ขอบอกว่าโครงการนี้เป็นการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนแบบ PPP ซึ่งเอกชนจะเป็นผู้จ่ายเงินลงทุนไปก่อนทั้งหมด จนเมื่อเปิดบริการปีแรก รัฐบาลถึงจะเริ่มจ่ายเงินให้เอกชนปีละ 10% รวมระยะเวลา 10 ปี แตกต่างจากโครงการโฮปเวลล์ที่รัฐบาลจ่ายเงินให้เอกชนไปและสร้างไป เพราะฉะนั้นโครงการนี้ไม่มีค่าโง่แน่นอน

มาบตาพุดรอประชาพิจารณ์

2.ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 มูลค่า 55,400 ล้านบาท รัฐบาลลงทุน 63% เอกชนลงทุน 37% เปิดดำเนินการต้นปี 2568 มีการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เป็นเจ้าของโครงการ

ผู้ที่ประมูลได้คือ บริษัท กลุ่มกิจการร่วมค้ากัลฟ์และพีทีที แทงค์ (บริษัท กัลฟ์ เอ็น-เนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ และบริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล) ซึ่งยื่นประมูลเพียงรายเดียว

ตอนนี้จัดทำสัญญาเสร็จสิ้นแล้วเตรียมเข้าที่ประชุม กพอ.และส่งร่างสัญญาให้ทุกกระทรวงดู จากนั้นจะนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อย่างไรก็ตาม มีประเด็นที่ กนอ.ลืมขออนุญาตกรมเจ้าท่า เพราะจะต้องมีการถมทะเล ซึ่งเรื่องนี้ทางกรมเจ้าท่าจะต้องไปจัดทำประชาพิจารณ์โดยใช้เวลา 1 เดือน

ดังนั้น ตัวสัญญาเมื่อเข้า ครม.และได้รับการอนุมัติแล้ว จะต้องรอจนกว่าการทำประชาพิจารณ์เสร็จสิ้นจึงจะสามารถลงนามในสัญญาได้

อู่ตะเภาใกล้ได้ผู้ชนะประมูล

3.สนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกมูลค่า 290,000 ล้านบาท ภาครัฐลงทุน 6% เอกชนลงทุน 94% เปิดดำเนินการปี 2566 ตอนนี้มีความล่าช้าเพราะกลุ่มกิจการร่วมค้า ธนโฮลดิ้ง จำกัดของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ส่งเอกสารซองเทคนิคและซองราคาล่าช้ากว่าเวลาที่กองทัพเรือ ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการกำหนดและได้ยื่นฟ้องศาลปกครองในอีกไม่นานกำลังจะมีคำสั่งออกมาก็คงจะคลายปมตรงนี้ได้

อย่างไรก็ตาม ทางกองทัพเรือก็ได้ทำงานควบคู่กันไปโดยตรวจซองคุณสมบัติเสร็จสิ้นแล้ว และอยู่ระหว่างการพิจารณาซองเทคนิคของอีก 2 ราย ที่ร่วมประมูลคือ กลุ่ม กิจการร่วมค้าบีบีเอส และกลุ่มแกรนด์ คอนโซเตียม

“การประมูลโครงการนี้ถ้าข้อเสนอทางเทคนิคผ่าน จะไปตัดสินที่ซองราคาเลยว่ารายใดเสนอเงินให้รัฐมากกว่ารายนั้นจะเป็นผู้ชนะไป ฉะนั้นไม่มีการนำคะแนนของซองเทคนิคมารวมกับคะแนนของซองราคา”

แหลมฉบังรอพิจารณาอุทธรณ์

4.ท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 มูลค่า 84,360 ล้านบาท การลงทุน 63% เอกชนลงทุน 37% เปิดดำเนินการต้นปี 2566 มีการท่าเรือแห่งประเทศไทย เป็นเจ้าของโครงการ มีเอกชนมายื่นประมูล 2 ราย คือ 1.กลุ่มกิจการร่วมค้าจีพีซี ประกอบด้วย บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทพีทีทีแทงค์ เทอร์มินัลจำกัด และChina Harbour engineering Company Limited

2.กลุ่มกิจการร่วมค้าเอ็นซีพี ประกอบด้วย บริษัท นทลิน จำกัด บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) บริษัท แอสโซซิเอท อินฟินิตี้ จำกัด บริษัท PHS Organic farming จำกัด และบริษัท China Railway construction Corporation จำกัด

ปรากฏว่ากลุ่มที่ 2 ลงนามในเอกสารไม่ครบถ้วนและไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ จึงไม่ผ่านการประเมิน และขณะนี้อยู่ระหว่างการฟ้องศาลปกครอง ขณะที่ศาลปกครองให้ทำการอุทธรณ์กับทางภาครัฐให้จบก่อน กระบวนการจึงอยู่ระหว่างการพิจารณาอุทธรณ์

ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานยังไม่คืบ

5.ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภามูลค่า 10,588 ล้านบาท ภาครัฐลงทุน 60% เอกชนลงทุน 40% เปิดดำเนินการกลางปี 2565 ขณะนี้ทั้งทางการบินไทยและแอร์บัสอยู่ระหว่างการเปลี่ยนผู้บริหารภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จึงอาจจะต้องมีการอัปเดตโครงการกันใหม่อีกครั้งหนึ่ง

ทั้งหมดนี้ เป็นมุมมอง ทรรศนะ ของ ดร.คณิศ ถึงการสานต่อโครงการอีอีซีภายใต้รัฐบาลใหม่

ส่วนจะคืบจากนี้จนไปสู่เป้าหมาย ต้องจับตาดูว่านายกรัฐมนตรีจะสามารถกำกับการบริหารงานของพรรคร่วมรัฐบาลไม่ให้มาเตะถ่วงการเดินหน้าโครงการเหล่านี้ได้หรือไม่.

ทีมเศรษฐกิจ


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ