ส่วนภาษีสินค้าออนไลน์นำเข้า เปิดให้ผู้ขายบวก VAT เพิ่มในราคา
นายปิ่นสาย สุรัสวดี รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยถึงความคืบหน้ากฎหมายการจัดเก็บภาษีจากผู้ประกอบการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (e-Business) ว่า ปัจจุบันกรมสรรพากรกำลังปรับปรุงข้อบังคับใช้ในกฎหมายร่วมกันกับคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อให้กฎหมายมีความรัดกุมในการเก็บภาษีมากยิ่งขึ้น ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาเมื่อมีการตั้งรัฐบาลใหม่แล้ว
“สรรพากรไม่ได้แก้ไขในหลักการของกฎหมาย แต่ปรับปรุงข้อปฏิบัติให้บังคับใช้ได้รัดกุมมากยิ่งขึ้น ในเรื่องการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากการนำเข้าสินค้า ซึ่งเดิมผู้บริโภคในประเทศต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.36) ต่อกรมสรรพากรเมื่อนำเข้าสินค้า แต่ที่ผ่านมาผู้บริโภคละเลยการเข้ามาเสียภาษี ดังนั้นกฎหมายนี้จะเปลี่ยนเป็นอนุญาตให้ผู้ประกอบการต่างชาติที่ส่งสินค้าเข้ามา ต้องคิดภาษีมูลค่าเพิ่มมาในราคาสินค้าเลย ก่อนจะส่งภาษีส่วนนี้กลับมาให้กรมสรรพากรแทนผ่านระบบออนไลน์”
ทั้งนี้ กรมสรรพากรไม่ได้มุ่งจัดเก็บภาษีจากพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์เพียงอย่างเดียว แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการ บุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล หากมีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี มีหน้าที่ต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภายใน 30 วัน และต้องเสียภาษีให้ถูกต้อง ขณะที่การจัดเก็บภาษีจากแพลตฟอร์มบริการจากต่างประเทศโดยตรง อาทิ เฟซบุ๊กนั้นยังเป็นไปได้ยาก เนื่องจากกรมสรรพากรสามารถเก็บภาษีจากผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลเท่านั้น และแพลตฟอร์มเหล่านี้ยังมีการจดทะเบียนที่ต่างประเทศ ซึ่งเปิดเป็นแพลตฟอร์มให้บริการกับบุคคลทั่วไปเข้ามาใช้ประโยชน์ ซึ่งเรื่องนี้ได้หารือกับองค์กรภาษีระหว่างประเทศแล้ว คาดว่าเรื่องจัดเก็บภาษีจากบริษัทต่างชาติ ยังต้องใช้เวลาศึกษา 1-2 ปี กว่าไทยจะจัดเก็บภาษีได้ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันกว่า 50 ประเทศ สามารถ ให้ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มต่างประเทศมาจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านเว็บไซต์ และเสียภาษีเช่นเดียวกับผู้ประกอบการภายในประเทศแล้ว ซึ่งปัจจุบันอังกฤษและอินเดียก็ทำเรื่องนี้แล้ว โดยไทยจะศึกษาแนวทางจากประเทศเหล่านี้มาปรับใช้เพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติต่อไป.