นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะทำงานเตรียมการพิจารณาเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (ซีพีทีพีพี) ว่า ได้พิจารณาความคืบหน้าการเตรียมความพร้อมของแต่ละหน่วยงานในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกซีพีทีพีพี รวมถึงผลดี ผลเสียที่ได้ศึกษามาแล้ว ก่อนที่จะสรุปผลให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พิจารณาประกอบการตัดสินใจเข้าร่วมเป็นสมาชิกของไทย “ยังบอกไม่ได้ว่าไทยจะเข้าร่วมเมื่อไร เพราะต้องนำผลศึกษาข้อดี ข้อเสีย และผลการศึกษาของแต่ละหน่วยงานไปหารือกับนายสมคิดก่อน แต่จะตัดสินใจภายในรัฐบาลชุดนี้ เพราะมีนโยบายชัดเจนที่จะเข้าร่วม ตอนนี้ ให้แต่ละหน่วยงานดูรายละเอียดให้เข้มข้นมากขึ้น เพราะซีพีทีพีพีจะมีผลบังคับใช้วันที่ 30 ธ.ค.61 หลังจากสมาชิก 7 ประเทศ คือ เม็กซิโก ญี่ปุ่น สิงคโปร์ นิวซีแลนด์ แคนาดา ออสเตรเลีย และเวียดนาม ให้สัตยาบันแล้ว และเมื่อมีผลบังคับใช้จะเปิดรับสมาชิกใหม่ ซึ่งไทยต้องเตรียมท่าทีให้ชัด”
อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า ในการเจรจาเข้าร่วมเป็นสมาชิกจะยึดผลประโยชน์ของไทยเป็นหลัก และจะเน้นการเจรจาเปิดช่องให้ไทยมีเวลาปรับตัว และหากมีผู้ได้รับผลกระทบ จะมีมาตรการเยียวยา โดยจะเสนอให้จัดตั้งกองทุนดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบ เพราะเป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญ
ด้านนางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า กรมได้ศึกษาผลประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากการเข้าร่วม โดยในด้านการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมจะส่งออกได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการส่งออกไปแคนาดาและเม็กซิโก ที่ไม่มีความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับไทย โดยสินค้าเกษตรที่จะได้ประโยชน์จากแคนาดา เช่น ปลาทูน่ากระป๋อง, ผักผลไม้กระป๋อง, ข้าว, กุ้งแปรรูป และอาหารสัตว์เลี้ยง รวมถึงยานยนต์และชิ้นส่วน, เครื่องจักร, เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์, ยางพารา และพลาสติก ส่วนเม็กซิโก สินค้าที่ไทยได้ประโยชน์ เช่น สับปะรดกระป๋อง ข้าว และญี่ปุ่น ที่แม้มีเอฟทีเอ แต่ลดภาษีนำเข้าให้ไทยเพียง 88% ของสินค้าที่ค้าขายกัน แต่ในซีพีทีพีพีไทยจะได้รับการลดภาษีเพิ่มเติม เช่น เนื้อไก่ ไก่ปรุงแต่ง ผักและผลไม้ เป็นต้น ส่วนสินค้าที่ไทยจะได้รับผลกระทบ เพราะต้องเปิดตลาดเพิ่มขึ้น เช่น มันฝรั่ง ชา กาแฟ ซึ่งไทยได้เตรียมความพร้อมในการปรับตัว เพราะได้เปิดเสรีในกรอบเอฟทีเออื่นๆอยู่แล้ว.