ส่งออก-ท่องเที่ยวสดใส ดันดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค เม.ย. โตสูงสุดรอบ 40 เดือน ม.หอการค้าฯ ชี้ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมีส่วนช่วยหนุนใช้จ่าย จับตาปัจจัยลบ เลื่อนเลือกตั้ง ราคาน้ำมัน-ของแพง...
เมื่อวันที่ 2 พ.ค. นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน เม.ย. ว่า อยู่ที่ 80.9 จาก 79.9 ในเดือน มี.ค. ปรับตัวระดับสูงสุดในรอบ 40 เดือน ตามการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ดีขึ้น นับตั้งแต่ ม.ค. 58 เป็นต้นมา ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 67.8 จาก 66.8 ในเดือน มี.ค. 61 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำอยู่ที่ 75.8 จาก 74.9 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 99.1 จาก 98.0
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบวก ได้แก่ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) คงอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ปี 61 ไว้ที่โต 4.2%, ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดการณ์เศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/61 มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาส 4/60 โดยคาดโตใกล้เคียงประมาณ 4%, การส่งออกในเดือน มี.ค. เพิ่มขึ้น 7.06%, พืชผลทางการเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะข้าว มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และเงินบาทปรับตัวอ่อนค่าลงเล็กน้อย
ขณะที่ปัจจัยลบจากความกังวลเสถียรภาพทางการเมือง โดยห่วงการเลื่อนการเลือกตั้งออกไปจาก ก.พ. 62, ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น, ความกังวลเรื่องค่าเงินบาทและปัญหาสงครามการค้า และผู้บริโภคกังวลปัญหาค่าครองชีพ และราคาสินค้าที่ยังทรงตัวในระดับสูง ซึ่งต้องติดตามต่อไปว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องหรือไม่ในอนาคต เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทยยังคงมีอยู่
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เริ่มกลับมาปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 นับตั้งแต่เดือน มี.ค. เป็นเพราะผู้บริโภคเริ่มมีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจไทยในอนาคตมากขึ้น เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่เริ่มคลายตัว ทั้งจากกรณีเงินบาทที่ไม่แข็งค่าลงไปแตะระดับ 30 บาท/ดอลลาร์, ปัญหาการเมืองระหว่างประเทศเริ่มคลี่คลาย ไม่ว่าจะเป็นกรณีของสหรัฐกับจีน, รัสเซียกับสหรัฐ และเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้
นอกจากนี้ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศตั้งแต่ต้นเดือน เม.ย. 61 ช่วยทำให้มีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นในส่วนของเศรษฐกิจฐานราก จากเดิมที่มีเพียงการช่วยเหลือในเรื่องบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ประกอบกับราคาสินค้าเกษตรและปศุสัตว์ในบางรายการเริ่มปรับตัวดีขึ้นบ้าง จึงทำให้เริ่มมีเม็ดเงินกลับเข้ามาในภาคเกษตร ขณะที่ด้านการส่งออกยังคงเป็นปัจจัยหนุนที่สำคัญ โดยผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เริ่มรับรู้คำสั่งซื้อและรายได้ที่เพิ่มขึ้นจาก Supply Chain ส่วนภาคการท่องเที่ยวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น โรงแรม มัคคุเทศก์ โลจิสติกส์นั้น จะเห็นเม็ดเงินที่เริ่มกระจายตัวลงไปยังภาคเศรษฐกิจต่างๆ มากขึ้น
“หากผู้บริโภคกลับมามีความมั่นใจอย่างต่อเนื่อง ทั้งสถานการณ์เศรษฐกิจและสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนภาวะเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวแบบกระจายตัวมากขึ้นภายในไตรมาส 2 ของปีนี้ จะส่งผลให้ผู้บริโภคเริ่มกลับมามีความมั่นใจในการบริโภคสินค้าและบริการมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จะมีส่วนสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างเด่นชัดขึ้นได้ในช่วงปลายไตรมาส 2 และเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้มีโอกาสเติบโตได้ที่ระดับ 4.2-4.4%”
พร้อมคาดว่าจีดีพี ไตรมาส 1 จะโต 4.0-4.2% หรือเฉลี่ยที่ 4.1% ขณะที่ไตรมาส 2 สถานการณ์จะดีขึ้นจากภาคส่งออกและการท่องเที่ยว ซึ่งจะทำให้จีดีพี ช่วงครึ่งปีแรก เติบโตได้ราว 4.1-4.2% โดยจะเห็นว่าความเชื่อมั่นในอนาคตของประชาชนเริ่มดีขึ้น มีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นสะท้อนจากดัชนีการซื้อที่อยู่อาศัย, รถยนต์ และการท่องเที่ยว ส่วนครึ่งปีหลังคาดว่า จีดีพีจะโตได้ราว 4.4-4.6% จากเศรษฐกิจมหภาคค่อยๆ ฟื้นตัว และความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะฟื้นตัวอย่างโดดเด่นในช่วงไตรมาส 4