นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า การส่งออกข้าวในปี 61 คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยรัฐบาลควรดูแลไม่ให้แข็งค่าเร็วจนเกินไป ซึ่งระดับค่าเงินบาทที่ผู้ส่งออกข้าวแข่งขันราคากับข้าวของคู่แข่งได้ควรอยู่ที่ 33-33.50 บาท/ เหรียญสหรัฐฯ โดยแม้ว่าปี 60 การส่งออกข้าวไทยส่งออกได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 11.63 ล้านตัน มูลค่า 173,000 ล้านบาท แต่จากผลกระทบของค่าเงินบาทแข็งค่าเมื่อปี 60 ประมาณ 9% ทำให้รายได้จากการส่งออกข้าวเมื่อคิดเป็นเงินบาทหายไป 10,000 ล้านบาท
“ปีนี้เป็นห่วงว่าหากค่าเงินยังแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งส่งออกข้าว โดยเฉพาะเวียดนามจะส่งผลกระทบไปถึงเกษตรกร ที่จะขายข้าวได้ราคาลดลง โดยเฉพาะช่วงที่ผลผลิตข้าวนาปีของเวียดนามจะออกมาเดือน มี.ค.-พ.ค.61 ส่งผลให้การแข่งขันในตลาดข้าวเพิ่มสูงขึ้น และผู้ประกอบการไทยอาจต้องซื้อข้าวจากเกษตรกรในราคาถูกลง เพื่อให้มีต้นทุนแข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้”
ด้าน ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า เงินบาทที่แข็งค่าจะทำให้ราคาส่งออกข้าวไทยเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับราคาข้าวของคู่แข่ง เช่น เวียดนาม ที่ค่าเงินไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก โดยค่าเงินบาทแข็งค่า 1 บาท ทำให้ราคาส่งออกข้าวหอมมะลิเพิ่มขึ้นตันละ 35 เหรียญ ข้าวขาวเพิ่มขึ้นตันละ 12.5 เหรียญ โดยในปี 60 ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นประมาณ 9% แต่ค่าเงินด่องของเวียดนามแข็งค่าขึ้นไม่ถึง 1% ทำให้ราคาส่งออกข้าวขาวของไทยแพงกว่าเวียดนามถึงตันละ 36 เหรียญ และตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.61 จนถึงปัจจุบันค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วอีก 3% ทำให้ราคาข้าวไทยปรับเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกตันละ 12 เหรียญ ขณะที่ค่าเงินเวียดนามอ่อนค่าลง
“สมาคมได้ส่งสัญญาณไปยังรัฐบาลหลายรอบให้ช่วยดูแล ไม่ให้ค่าเงินสวิงมากเกินไป แต่ก็เหมือนการกรอเทปหลายรอบ ไม่เกิดผลอะไร หากรัฐบาลมองว่าการที่ค่าเงินแข็งค่าอย่างรวดเร็ว 3% ภายในเดือนเดียว เป็นเรื่องปกติ และให้ผู้ส่งออกปรับตัว ถือว่าไม่ปกติแล้ว เพราะค่าเงินทั่วโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคไม่มีใครแข็งค่าเร็วขนาดนี้”.