จับกระแสร้อน “ดอกเบี้ย บาท น้ำมัน หุ้น” ปีมะเมีย

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

จับกระแสร้อน “ดอกเบี้ย บาท น้ำมัน หุ้น” ปีมะเมีย

Date Time: 31 ธ.ค. 2568 04:01 น.

Summary

ปี 2568 ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่คนไทยต้องเผชิญกับ “ความผันผวน” ของราคาสินทรัพย์ที่พุ่งทะยานขึ้นเหมือนรถไฟเหาะ โดยเฉพาะราคาทองคำที่สูงขึ้นอย่างน่าตกใจ ทองคำจะพุ่งขึ้นมากกว่า 100% ในปีเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ราคาทองที่สูงขึ้นกลายเป็นปัจจัยทำให้ค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง

Latest

ผ่านปี 68 "งูร้าย" สู่ปี 69 "ม้าเหนื่อย" เฟ้นหา "แสงสว่าง" ท่ามกลางปัจจัยลบ

ปี 2568 ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่คนไทยต้องเผชิญกับ “ความผันผวน” ของราคาสินทรัพย์ที่พุ่งทะยานขึ้นเหมือนรถไฟเหาะ โดยเฉพาะราคาทองคำที่สูงขึ้นอย่างน่าตกใจ ทองคำจะพุ่งขึ้นมากกว่า 100% ในปีเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ราคาทองที่สูงขึ้นกลายเป็นปัจจัยทำให้ค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง

โดยเป็นการแข็งค่าของเงินบาทที่แข็งเกินพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่เติบโตเพียงแค่ 2% ในปี 2568 แข็งค่าสูงในระดับต้นๆของภูมิภาค สร้างความยากลำบากให้กับผู้นำเข้าส่งออก ในขณะเดียวกัน หากมองไปที่ตลาดหุ้นไทยในปีที่ผ่านมาก็มีความผันผวนขึ้นลงไม่แพ้กัน ทั้งที่มาจากปัจจัยนอกประเทศและปัจจัยในประเทศ สำหรับราคาพลังงานในปีที่ผ่านมาดูจะดีที่สุด เพราะกลายเป็นสินทรัพย์ที่ผันผวนน้อยที่สุด จากที่เคยผันผวนหนักมากในช่วงก่อนหน้า

วันส่งท้ายปีคงมีคนอยากรู้แล้วว่า แนวโน้มปีหน้าจะเป็นอย่างไร “ทีมเศรษฐกิจ” ได้รวบรวมทิศทางราคาพลังงาน ค่าเงินบาท ดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มความคึกคักหรือซบเซาของหุ้นไทยในปีหน้ามาฝากกัน...

ปีใหม่บาทยังแข็ง–ดอกเบี้ยลดต่อ

เริ่มต้นจากสถานการณ์ค่าเงินบาทและดอกเบี้ยในปีหน้า นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นว่าจากภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2569 ที่ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง จากปัจจัยลบนอกประเทศ ขณะที่การเลือกตั้งทั่วไป จะเป็นอีกปัจจัยที่มีความสำคัญต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปีหน้า ซึ่งจากการประเมิน ในกรณี Base Case อาจไม่มีพรรคการเมืองใดที่จะได้ที่นั่งในสภามากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากได้ ทำให้ต้องจัดตั้งรัฐบาลผสม

 ส่งผลให้หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่ระดับ 1.25% ในการประชุมวันที่ 17 ธ.ค.เพื่อช่วยประคองการฟื้นตัว และช่วยลดภาระหนี้ให้กับครัวเรือนและเอสเอ็มอีแล้ว

“เรายังมองว่ามีโอกาสที่ ธปท.จะกลับมาเดินหน้าลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม โดยมีโอกาสที่  กนง.จะปรับลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 0.25% ในปี 2569 แม้ขีดความสามารถของนโยบายการเงิน (Policy Space) ในปัจจุบันมีจำกัด หากโมเมนตัมเศรษฐกิจอ่อนแอกว่าที่ประเมิน และเศรษฐกิจไทยเผชิญความเสี่ยงด้านต่ำที่รุนแรง (Severe Economic Shock) จากข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯที่ยังไม่ได้ข้อสรุป และการเบิกจ่ายงบประมาณที่อาจล่าช้า”

ส่วนของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทยังมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า จากอานิสงส์การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ และแรงซื้อสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้นในช่วงก่อนการเลือกตั้งใหญ่ของไทย และช่วงไฮซีซันของการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม เงินบาทจะเสี่ยงอ่อนค่าลง ทดสอบโซน 33.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้อีกครั้ง ในช่วงกลางปีเป็นต้นไป หากการเมืองไทยเผชิญความวุ่นวายหลังการเลือกตั้ง

อีกทั้งในช่วงไตรมาส 2 ก็จะเป็นฤดูการจ่ายปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติและราคาทองคำที่เคยช่วยหนุนเงินบาทในช่วงที่ผ่านมาจะย่อตัวลงบ้าง นอกจากนั้น หากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีมาตรการเพื่อลดทอนผลกระทบของการเคลื่อนไหวของราคาทองคำต่อเงินบาท ก็อาจทำให้เงินบาทอ่อนค่ากว่าที่เราประเมินไว้ได้ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี โดยในสิ้นปี 2569 มีโอกาสที่จะแข็งค่ามากกว่าระดับ สิ้นปีแถว 31.85+/-0.25 บาทต่อดอลลาร์

แต่ไม่ว่าเงินบาทจะมีแนวโน้มอย่างไร พฤติกรรมของเงินบาทได้เปลี่ยนไปกลายเป็นสกุลเงินที่มีความผันผวนสูงขึ้น จากอดีตผันผวน 4-5% ต่อปี แต่จากนี้อาจสูงถึง 10% แนะนำให้ทำป้องกันความเสี่ยงมากขึ้น

เห็นน้ำมันดิบดูไบที่ 60–70 เหรียญ

 นายวีระพล จิรประดิษฐกุล นักวิชาการอิสระด้านพลังงาน มองทิศทางราคาน้ำมันดิบในปี 2569 จะอ่อนตัวลงจากปี 2568 มาอยู่ในระดับ 60-70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากมีอุปทานสูงกว่าอุปสงค์อย่างต่อเนื่อง เสี่ยงจนสต๊อกสูงสุดในประวัติการณ์ในปีหน้า แต่ยังมีความผันผวนและความไม่แน่นอนสูง จากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ในตะวันออกกลางและความขัดแย้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน

ขณะที่องค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency : IEA) ได้ระบุว่า ตลาดน้ำมันมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะส่วนเกินสูงสุดประวัติการณ์ในปีหน้า เนื่องจากความต้องการชะลอตัวลง ขณะที่การผลิตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่า ปริมาณน้ำมันดิบในคลังทั่วโลก จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2.96 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยปี 2563 ในช่วงโควิด-19 ปริมาณการผลิตน้ำมันในตลาดโลก ก็มีปริมาณที่สูงขึ้น กลุ่มโอเปก-พลัส (ผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่) นำโดยซาอุดีอาระเบีย ได้เร่งเดินหน้าฟื้นฟูการผลิตที่หยุดชะงัก ทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง 12%

ส่งผลให้ราคาซื้อขายตั้งแต่ต้นปี 2569 ใกล้ระดับ 66 เหรียญต่อบาร์เรล เนื่องจากการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากทั้งโอเปก-พลัส และผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปก-พลัส ขณะที่มีความกังวลว่ามาตรการสงครามการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์จะกระทบเศรษฐกิจโลก ทำให้ Goldman Sachs คาดราคาน้ำมันดิบเบรนท์ว่าจะอยู่ที่ 52 เหรียญต่อบาร์เรล

“ปีหน้าราคาน้ำมันดิบดูไบจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ 60-70 เหรียญต่อบาร์เรล ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำในปี 2568

ทำให้ไทยได้รับประโยชน์จากเงินเฟ้อที่ลดลง การขาดดุลการค้าที่ลดลง และเป็นโอกาสปรับลดต้นทุนราคาพลังงาน ดังนั้น ปี 2569 จะได้เห็นราคาน้ำมันดีเซล เคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 30-31 บาทต่อลิตร ก๊าซหุงต้มสามารถตรึงราคาไว้ที่ 423 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม (กก.) และค่าไฟฟ้าจะอยู่ในระดับ 3.88 บาทต่อหน่วย”

ตลาดหุ้นไทยปี 69 มีโอกาสฟื้นตัว

ด้านตลาดหุ้นไทยในปีหน้า นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ซีอีโอ บล.ทิสโก้และนายกสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ไทย มองแนวโน้มหุ้นไทยปี 69 ว่า หลังตลาดหุ้นไทยปรับตัวลง 3 ปีติดต่อกัน ทำให้ภาพรวมปี 69 มีโอกาสฟื้นตัว แต่เป็นการฟื้นอย่างจำกัด มีปัจจัยบวกคือ มูลค่าหรือราคาหุ้นที่ปรับลดลงต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานเกือบทุกกลุ่ม หากตัดหุ้นบางบริษัทที่มี valuations สูงผิดปกติออก ความเสี่ยงด้าน downside หรือการปรับลงของตลาดหุ้นไทยเริ่มอยู่ในระดับจำกัด แต่ Upside หรือการปรับขึ้นของหุ้นไทย ยังถูกจำกัดจากเศรษฐกิจที่อ่อนแอ

ทั้งนี้ คาดว่า ปี 69 เศรษฐกิจจะโตเพียง 1.6% ขณะที่อัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนยังต่ำ เพราะกลุ่มอุตสาหกรรมใหญ่ซึ่งมีน้ำหนักสูงต่อดัชนี SET สูง เช่น พลังงาน ปิโตรเคมี วัสดุก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ ยังมีแรงกดดันจากอุปสงค์ที่ชะลอตัวและโครงสร้างต้นทุนตึงตัว ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับขึ้นจำกัด

การเลือกตั้งช่วงต้นปี สร้าง sentiment เชิงบวกระยะสั้น แต่เสถียรภาพการเมืองระยะกลางยังเป็นความเสี่ยง จากโครงสร้างรัฐบาลที่มีแนวโน้มเป็นรัฐบาลผสม การผลักดันนโยบายเศรษฐกิจขนาดใหญ่ และแก้ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจเป็นไปได้ยาก ขณะที่นโยบายการคลังมีข้อจำกัดสูง ทำให้มาตรการกระตุ้นระยะสั้นอาจไม่มีประสิทธิภาพ

ปัจจัยภายนอก เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงปีนี้ แต่แรงหนุนจากการผ่อนคลายนโยบายการเงินทั่วโลกเริ่มลดลง ขณะที่ valuations ของตลาดหุ้นบางแห่ง โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีในสหรัฐฯเริ่มตึงตัว นำไปสู่การปรับพอร์ตของนักลงทุนสถาบัน และเงินทุนบางส่วนไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ เป็นแรงหนุนทางอ้อมต่อตลาดหุ้นไทย

ส่วนในประเทศปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือนโยบายรัฐ และมาตรการกระตุ้นการลงทุน การปรับปรุงโครงการออมหุ้น TISA ให้มีแรงจูงใจมากขึ้น คือ เครื่องมือฟื้นการลงทุนและสภาพคล่องของตลาด แม้รัฐต้องเสียรายได้ภาษีในระยะสั้น แต่ผลของ wealth effect จะช่วยขยายฐานภาษีและหนุนเศรษฐกิจได้ยั่งยืนกว่าการใช้มาตรการระยะสั้น

แนะกลยุทธ์ปี 69 ต้อง selective plays ให้ความสำคัญกับหุ้นที่มี earnings visibility ชัดเจน หุ้นค้าปลีก พาณิชย์ การเงิน สื่อสาร ท่องเที่ยว นิคมอุตสาหกรรม ที่คาดว่ากำไรจะโต 12-18% ขณะที่ค่า Forward P/E 8-15 เท่า ส่วนหุ้นปันผล กลุ่มธนาคารและโทรคมนาคมยังน่าลงทุนในเชิง defensive และ income play ในตลาดที่ผันผวนสูง.

ทีมเศรษฐกิจ


อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ